เป็นเรื่องที่เราทราบกันดีว่าในปัจจุบันสมาร์ตโฟนได้กลายเป็นเหมือนอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว เพราะไม่ว่าเราจะเดินไปที่ไหน มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เราจะเห็นคนหยิบโทรศัพท์เหล่านี้ขึ้นมาเล่นกัน
ว่าแต่เพื่อนๆ เชื่อหรือไม่ว่าพฤติกรรมการเล่นมือถือของมนุษย์เรานั้น มันอาจจะเริ่มส่งผลกระทบโดยตรงกับสรีระร่างกายของมนุษย์ไปแล้ว
นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง เหล่านักวิทยาศาสตร์และทีมแพทย์ได้เริ่มทำการตรวจพบว่าผู้คนบางกลุ่ม (โดยเฉพาะเด็กๆ) เริ่มที่จะมีการพัฒนากระดูกแบบประหลาดๆ ที่บริเวณท้ายทอยเสียแล้ว
กระดูกส่วนที่ว่านี้รู้จักกันในนาม “ปุ่มนอกของท้ายทอย” (External occipital protuberance) ซึ่งแม้ว่าจะมีอยู่ในมนุษย์แทบทุกคน แต่ตามปกติแล้วจะมีขนาดเล็กมาก (ราวๆ 5 มิลลิเมตร) ต่างไปจากในปัจจุบันที่ในบางครั้งกระดูกที่ว่าใหญ่มากพอที่จะรู้สึกได้เมื่อเราเอานิ้วโป้งกดที่ท้ายทอยเลย
การพัฒนาของกระดูกส่วนนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเกิดขึ้นจากอะไร แต่อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คน พวกเขาเชื่อว่ามันน่าจะมาจากการที่มนุษย์มักจะก้มหัวในมุมที่ไม่เหมาะสมและเป็นภาระต่อคอ ซึ่งมักเกิดจากการก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือนั่นเอง
คุณ David Shahar นักวิทยาศาสตร์สุขภาพแห่งมหาวิทยาลัยซันชายน์โคสต์บอกว่า ด้วยความที่ศีรษะของคนเรามีน้ำหนักค่อนข้างมาก การที่คนเราก้มหน้านานๆ จึงมักสร้างภาระให้กล้ามเนื้อที่เชื่อมอยู่ระหว่างคอและกะโหลกเป็นอย่างมาก
ขนาดของปุ่มนอกของท้ายทอยตามปกติ
ดังนั้นเพื่อที่จะลดภาระของกล้ามเนื้อลงร่างกายของมนุษย์เพิ่มขนาดของกระดูกที่ท้ายทอยซึ่งจะช่วยกระจายน้ำหนักของศีรษะให้ใหญ่มากขึ้น และลดภาระของกล้ามเนื้อส่วนคอลง
อ้างอิงจากงานวิจัยในปี 2016 ของคุณ Shahar และทีมงาน ในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 18-30 ปีจำนวน 218 คน พวกเขาพบว่ามีคนมากถึง 41% ของคนในกลุ่มมีขนาดของกระดูกดังกล่าวที่ใหญ่โตมากกว่า 10 มิลลิเมตร และในบรรดาคนเหล่านั้น 10% มีกระดูกส่วนนี้ใหญ่กว่า 20 มิลลิเมตรเลย
ขนาดของปุ่มนอกของท้ายทอยที่ใหญ่เป็นพิเศษ
นับว่าโชคดีมากที่กระดูกส่วนนี้ตามปกติแล้วจะไม่เป็นอันตราย และแทบจะไม่มีผลร้ายกับร่างกายในคนส่วนมาก อย่างไรก็ตามหากเพื่อนๆ รู้สึกกังวลกับการที่ระดูกของที่ท้ายทอยจะใหญ่ขึ้น ทางผู้เชี่ยวชาญก็บอกว่าการปรับท่าทางการนั่งในระหว่างการเล่นโทรศัพท์จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยป้องกันกระดูกนี้ได้ อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง
ที่มา livescience, dailymail, bbc
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.