สนับสนุนเนื้อหาโดย:
บ่อยครั้งที่ราคาจำหน่ายของรถยนต์ในบ้านเรา มักจะทำให้คุณผู้อ่านต้องตกอยู่ในอาการ “ฝันสลาย” กันมาแล้ว
(เช่นกรณีของ Suzuki Jimny แพงถึง 1.5 ล้านและ Nissan Leaf ราคาเกือบ 2 ล้าน เป็นต้น )
ซึ่งสาเหตุของอาการที่ว่านั้นก็มาจากการอัพค่าตัวที่จากราคาจำหน่ายในต่างประเทศเกือบ 3 เท่า!!
หรืออย่างที่หลายคนชอบคอมเมนต์เมื่อเห็นข่าวรถยนต์ราคาถูกๆ ว่า “เดี๋ยวโดนภาษีนำเข้า 300%” ซึ่งมันก็ไม่เกินจริงแต่อย่างใด
ความจริงที่ว่า “กำแพงภาษี” ทำให้รถราคาหลักแสนกลายเป็นหลักล้านนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยจริงๆ
แต่ในบทความพิเศษชิ้นนี้เราจะพาคุณผู้อ่านไปเจาะลึกกับภาษีต่างๆ ที่รถยนต์ 1 คันต้องเจอ พร้อมกับไขข้อข้องใจที่ว่าเหตุใดการลดกำเพงภาษีถึงเป็นเรื่องยาก…
รถนำเข้า 1 คันต้องเจอภาษีอะไรบ้าง
นับตั้งแต่รถยนต์ 1 คันเสร็จสิ้นการประกอบจากโรงงานต้นทาง ก่อนที่จะมาถึงประเทศปลายทางนั้นจะมีการกำหนดราคาที่เรียกว่า C.I.F. ซึ่งถือเป็นเงื่อนไขในการซื้อขายชนิดหนึ่ง
ราคา C.I.F. จะประกอบด้วย: ราคาสินค้าหรือบริการ(ในกรณีนี้คือราคารถ) + ค่าขนส่ง + ค่าประกันสินค้า
ซึ่งมาถึงตรงนี้ คุณต้องรู้จัก C.I.F. ก็เพราะว่า มันจะใช้ในการคำนวณอย่างอื่นต่อไปนี้ครับ…
ซึ่งราคา C.I.F จะเกี่ยวข้องกับการคิดคำนวนภาษีต่างๆ โดยการนำเข้ารถยนต์ 1 คันนั้นจะต้องเสียค่าภาษีทั้งหมด 4 อย่างด้วยกันคือ
1. อากรนำเข้า: C.I.F x อัตราอากรนำเข้า
2. ภาษีสรรพสามิตร: (C.I.F + อากรนำเข้า) x อัตราภาษีสรรพสามิตร/ 1-(1.1. x อัตราภาษีสรรพสามิตร)
3. ภาษีเพื่อมหาดไทย: ภาษีสรรพสามิตร x 10%
4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): ฐานภาษี (ราคารถ รวมกับภาษีข้อ 1-3) x อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7% นั่นเอง)
(ปัจจุบันมีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตรใหม่ โดยคิดจากอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) ซึ่งมีการประกาศบังคับใช้เมื่อปี 2559 ที่ผ่านมา)
และเมื่อนำภาษีทั้ง 4 ข้อมารวมกับราคารถเราก็จะได้ราคาขายของรถคันนั้นที่จะวางจำหน่ายในบ้านเรา
ยกตัวอย่างการคำนวนให้เห็นภาพง่ายๆ เช่น รถเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรปล่อยก๊าซ CO2 ไม่เกิน 150 g/km รองรับน้ำมัน E20
ราคา C.I.F. อยู่ที่ 400,000 บาท บาทเมื่อนำเข้ามาขายในบ้านเราจะราคาเท่าไหร่??
ตัวเลขที่จะใช้คำนวน และอัตราภาษีมีดังนี้ (ใช้อัตราภาษีสรรพสามิตรตามตารางด้านล่าง)
ราคา C.I.F: 400,000 บาท
อัตราอากรนำเข้า: 80%
อัตราภาษีสรรพสามิตร: 30%
อัตราภาษีเพื่อมหาดไทย: 10%
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม: 7%
ซึ่งเมื่อคิดคำนวนแล้วรถคันนี้มีอัตราอากรรวมทั้งหมดอยู่ที่ 187.47% ด้วยกัน
นั่นหมายความว่า หากรถคันนี้มีการนำเข้ามาขายในบ้านเรา จะโดนค่าภาษีถึง 749,880 บาท
และเมื่อรวมกับราคารถก็จะกลายเป็น 1,149,8800 บาท!! นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้รถหลักแสนกลายเป็นหลักล้าน
และหากเป็นรถที่ซีซี สูงเกิน 3,000 ซีซี ขึ้นไปก็จะต้องเสียภาษีพุ่งสูงไปถึง 328% ด้วยกัน
อ่าว ถ้างั้นก็ลดภาษีสิ…
ราคาที่กระโดดไปไกลขนาดนี้ ทำให้หลายคนเกิดคำถามตามมาว่า หากลดภาษีให้ถูกลงกว่านี้ก็คงจะทำให้เราได้ใช้รถที่ถูกลงกว่านี้น่ะซิ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การจะลดกำแพงภาษีนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ปุ๊บปั๊บจะทำได้เหมือนกับพลิกฝ่ามือ เพราะอาจเกิดผลกระทบที่ตามมาได้
กรณีศึกษาการลดภาษีนำเข้ารถไฟฟ้าจากจีน ในข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-จีน
ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-จีน นี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ภาษีนำเข้ารถไฟฟ้าจากจีนลดเหลือ 0%
หากมองผ่านๆ นโยบายดังกล่าวก็น่าจะเป็นผลดีต่อทั้งผู้บริโภคเองที่จะได้ใช้รถไฟฟ้าในราคาถูก
และเมื่อเข้าถึงได้ง่าย รถไฟฟ้าก็ยิ่งมีคนใช้เยอะ และเมื่อยิ่งมีคนใช้เยอะก็ยิ่งเป็นประโยชน์กับสิ่งแวดล้อมด้วย
แต่!! ช้าก่อนครับ เพราะในความเป็นจริงแล้วมันอาจจะไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งขนาดนั้น
และอาจจะทำให้เกิดผล กระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศ รวมถึงผู้บริโภคอย่างเรามากกว่าที่คิดก็ได้
แม้ว่าการลดภาษีจะมีข้อดี แต่ผลกระทบหากรรถไฟฟ้าจากประเทศจีนได้รับการยกเลิกภาษีนำเข้า สามารถแบ่งเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
– ทำให้ค่ายรถจากจีนมีต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง (ค่ายรถจากจีนไม่ต้องจ่ายภาษีนำเข้า ขณะที่ค่ายอื่นต้องเสีย 30%) ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบ
– เมื่อรถไฟฟ้าจากจีนถูกลง คนก็ซื้อมากขึ้น มีสินค้าไหลเข้าประเทศมากขึ้น ส่งผลต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ ที่เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมทำเงินในแต่ละปีไม่น้อย
– เกิดผลกระทบต่อการส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐ ที่ต้องการดึงผู้ผลิตรถยนต์ต่างชาติเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค
– ท้ายที่สุดหากไม่มีใครสู้ค่ายรถจากจีนได้ การแข่งขันในตลาดก็ลดลง และตัวเลือกสำหรับผู้บริโภคก็จะลดลงไปด้วยนั่นเอง เห็นถึงผลกระทบที่เป็นลูกโซ่แล้วใช่ไหมล่ะ
จากผลกระทบที่ยกตัวอย่างให้เห็น การจะทำให้รถนำเข้าจากต่างประเทศมีราคาถูกลงด้วยการลดภาษีเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด
แต่อาจจะมาในรูปแบบส่งเสริมการลงทุน หรือการดึงผู้ผลิตเข้ามาตั้งโรงงานให้ได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และมีเงินมาเติมเต็มเศรษฐกิจในประเทศด้วย
(ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของนโยบายภาครัฐ ถ้าเขียนมากจะออกนอกประเด็นไป เลยจบแค่นี้น่าจะดีกว่านะครับ)
อย่างไรก็ตาม หวังว่าบทความนี้จะช่วยเคลียร์ให้หลายๆ คนเข้าใจในเรื่องของ “อัตราภาษี” กับราคาค่าตัวของรถนำเข้าที่มักจะเพิ่มไปประมาณ 3 เท่ากันได้มากยิ่งขึ้นครับ
ถ้าถูกใจล่ะก็ อย่าลืมติดตามเนื้อหาดีๆ ที่ MagCarZine จะนำมาฝากกันในครั้งต่อไป ติดตามได้ทั้งทางหน้าเว็บไซต์ หรือทางแฟนเพจได้ทุกวัน
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ…
เรียบเรียงโดย: ณัฐกร หอมรื่น
ที่มา khaosod, thansettakij, grandprix
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.