ผ่านไป 1 สัปดาห์แล้ว หลังจากที่ภาพยนตร์ Freelance ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ของผู้กำกับสุดแนว เต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์
ซึ่งก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิาจารณ์จากผู้ชมไปแบบหลากหลายทีเดียว และเหมียวก็เพิ่งได้ไปดูมาเมื่อไม่นานนี้เอง หวังว่าคงไม่สายเกินไปที่จะเชียนรีวิวให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะ ความรู้สึกของเหมียวหลังจากได้ชมแล้วเป็นยังไง ลองมาดูกันเลย
Freelance ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ ว่าด้วยเรื่องของยุ่น(ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) หนุ่มฟรีแลนซ์ที่บ้างานแบบสุดๆ และคิดว่าร่างกายของตนเองสามารถแบกรับความเหนื่อยล้าได้แบบเครื่อจักร แต่ร่างกายของเราไม่เคยโกหกใคร วันหนึ่งยุ่นก็สัมผัสได้ว่ามีตุ่มประหลาดโผล่ขึ้นมาบนร่างกายของเขา
ไอ้เจ้าตุ่มที่ว่านี่ก็ไม่ได้มาแค่เม็ดสองเม็ด แต่จู่โจมมาเป็นสิบ ยุ่นจึงตัดสินใจไปหาหมอและได้เจอกับหมออิม(ใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่) แต่การพบกันครั้งนั้นทำให้ยุ่นเกิดความรู้สึกประหลาด จนอยากจะเจอหมออีกครั้ง ซึ่งเขามีโอกาสที่จะได้เจอหมออิมแค่ 1 วันต่อเดือน ในห้องตรวจคนไข้เล็กๆเท่านั้น
ในขณะที่ต้องพยายามรักษาอาการผื่นคันบนร่างกาย ยุ่นก็ต้องต่อสู้กับวงการฟรีแลนซ์แสนโหดที่ประดังประเดเข้ามาแบบไม่ขาด ยุ่นจะต้องเลือกว่าเขาจะจัดการกับความรู้สึกที่มีต่อหมออิม อาการผื่นคันและหน้าที่การงานของเขาอย่างไร
ในช่วงแรงของหนัง มีสไตล์การเล่าเรื่องที่สนุกสนาน มีมุกจิกกัดคนทำงานฟรีแลนซ์ให้เราได้เห็นตลอดเวลา คือเหมียวดูไปแล้วนี่มีขำตลอดอะ
มุกแต่ละอย่างที่ใส่เข้ามามันตรงกับความจริงมาก ทั้งชีวิตการทำงานของฟรีแลนซ์ การพูดคุยกับลูกค้าสุดงี่เง่า เพื่อนร่วมงานสุดกวนตรีน หรือสังคมคนทำงานด้วยกัน มันตรงใจไปหมด(แม้เราจะไม่ค่อยได้ไปคลุกคลีกับพวกเขาก็ตาม)
แต่พอหนังดำเนินเรื่องเข้าสู่องค์ที่ 3 หนังกลับเปลี่ยนทิศทางกลายเป็นหนังกดดันที่ดาร์คมาก มีการอัดเพลงร็อคดังๆเข้ามาในฉากสำคัญๆของตัวละคร ทำให้คนดูรู้สึกกดดันไปด้วย ตรงนี้เองมีเสียงวิจารณ์จากคนดูว่าหนังออกจะเนือยไปหน่อย แต่เหมียวกลับรู้สึกว่ามันบันเทิงมากเลย เหมือนได้รับอีกรสชาติหนึ่งของอาหารจานเดียวกัน
หากใครเป็นแฟนหรือเคยดูหนังเรื่องก่อนๆของ เต๋อ นวพล มาก็น่าจะพอสังเกตเห็น Easter Egg หรืออะไรเล็กๆน้อยๆที่สื่อถึงผลงานของเขาซ่อนอยู่ในทุกๆฉาก เช่นพี่สุชาติ วอลเปเปอร์ในห้องนอนของยุ่น รูปภาพวินดีเซล
หรือแม้เสื้อผ้าที่ยุ่นใส่ตลอดทั้งเรื่อง ก็พยายามสื่ออะไรถึงผู้กำกับคนนี้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันทำให้ทุกๆการเปลี่ยนฉากมันดูสนุกมาก เพราะได้ลุ้นว่าฉากต่อไปเราจะได้เห็นอะไรอีก
นี่คือหนังของเต๋อ นวพล เรื่องที่ 4 ที่เป็นหนังใหญ่ฉายโรงภาพยนตร์ที่เหมียวคิดว่า มีลายเซ็นการเล่าเรื่องที่ชัดที่สุดเลยก็ว่าได้ ทั้งการใช้โทนสีที่หม่นหน่อยๆ จังหวะการตัดต่อ การเขียนบทพูดของตัวละคร(แบบหยาบๆคายๆ) การใช้กล้องแบบ Hand Held(ใช้กล้องตัวเดียวในการถ่ายรับหน้านักแสดงหลายคน หรือถ่ายแบบต่อเนื่อง)
สรุปแล้วหนังเรื่องนี้อาจไม่ใช้หนังแบบเดิมๆที่ GTH เคยทำมา แต่ก็เป็นผลงานรสชาติแปลกใหม่ที่เหมียวชอบมาก ซึ่งไอ้รสชาติใหม่ที่ว่านี้เองอาจจะไม่ถูกปากใครบางคนนะ แต่ยังไงแล้วเราก็คงไม่ค่อยได้เห็นหนังแบบนี้ในไทยบ่อยนัก เอาเป็นว่าใครยังไม่ได้ดู เหมียวขอเชียร์แบบสุดใจอะ
เรียบเรียงโดย เหมียวฟิ้น
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.