เรียกได้ว่าตอนนั้นเป็นอะไรที่ดูบ้าและไร้เหตุผลอย่างมาก ในปี 2012 ที่ CEO ของ Facebook อย่าง Mark Zuckerberg ได้โชว์ความสามารถเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของเขา
ก่อนที่จะเริ่มทำ IPO ด้วยการซื้อแอพพลิเคชั่นหนึ่งที่นักลงทุนคงคิดว่าไม่คุ้มค่าในตอนนั้น ด้วยราคา 1 พันล้านเหรียญ หรือตอนนี้ก็ราวๆ 34,000 ล้านบาท!!!!! กับสิ่งที่ได้มาคือ แอพพลิเคชั่นที่เหล่าผู้มาร่วม IPO กับบริษัทของเขาอาจจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ แถมมีระยะเวลาทำการมาแค่ 2 ปี มีทีมงานเพียงแค่ 13 คน…
แอพพลิเคชั่นสำหรับแชร์ภาพที่ในตอนนี้เรารู้จักกันในนาม Instagram ที่เริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาในแวดวงโซเชียลมีเดียได้สักพักหนึ่งแล้ว!!!
สำหรับตอนนี้ก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก Application นี้แล้วล่ะ!!!
ณ ขณะนั้นมันเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายและสุดหยั่งถึงอย่างมาก?? อะไรกันที่เป็นแรงผลักดันให้ CEO ระดับโลกหันมาสนใจและซื้อกิจการของ Application ที่มีรายรับเป็น 0 (ในตอนนั้น) ทำให้เหล่าผู้ที่กำลังจะมาถือหุ้นของบริษัท เริ่มเกิดความไม่ไว้วางใจในตัวเขา
หลายๆ คนเชื่อว่าหนุ่มน้อยผู้ชอบสวมเสื้อฮู้ด ในวัย 27 ปีนั้น มีลักษะนิสัยที่ห่าม ไม่คิด ไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไป และที่สำคัญ ไม่มีคุณสมบัติที่จะนำพาบริษัทของเขาให้ไปสู่ความสำเร็จที่มากขึ้นในอนาคตได้!!?
แต่ก็อย่างที่เรารู้กัน…นั่นเป็นหนึ่งในการตัดสินใจในชีวิตที่เขาเคยทำเลยทีเดียว!!!
Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Facebook และ Kevin Systrom ซีอีโอของ Instagram
เพราะในเวลาเพียงไม่นาน Instagram กลับกลายมาเป็นเครื่องจักรขนาดใหญ่ ที่ทำเงินให้กับบริษัทและเหล่าผู้ถือหุ้น ได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ไม่แน่ว่ารายได้ ณ ขณะนี้ของ Facebook นั้น อาจไม่ได้มากมายขนาดนี้ ถ้าขาดการช่วยเหลือจาก Instagram ไป
แต่เหรียญก็มีสองด้านเสมอ เพราะตอนนี้เริ่มเป็นที่กังวลกันแล้วล่ะว่า Instagram เริ่มเป็นเครื่องมือที่ Facebook พึ่งพามากเกินไป อย่างที่ COO ของเฟซบุ๊ค Sheryl Sandberg กล่าวว่า ‘จากการประชุมเรื่องรายรับจากโฆษณา 100 อันดับของโฆษณาทีทำรายได้ให้กับ Facebook สูงสุดมีถึง 98 ราย ที่ลงกับ Instagram ไว้ด้วย’
และนักวิเคราะห์อย่าง Evan Wilson ก็ออกมากล่าวเพิ่มเติมในเรื่องนี้ด้วยว่า ‘Instagram เป็นหนึ่งใน Wow Factors ที่ทำให้ Facebook เติบโตได้อย่างทุกวันนี้ โดยการขยายกว่าร้อยละ 29 ในทุกๆ ปี ตั้งแต่ปี 2013 ที่ผ่านมา!!!’
Instagram และ Facebook
ในส่วนของรายรับ Instagram ช่วงเริ่มแรกนั้น ทำได้ราวๆ 276 ล้านเหรียญ แต่ปี 2016 นี้คาดว่า Instagram จะปิดรายรับได้ถึง 1,300 ล้านเหรียญเลยทีเดียว!!! นั่นหมายถึงมูลค่าของบริษัทที่มากขึ้น เป็นสัญญาณที่ดีต่อเหล่าผู้ถือหุ้นของพวกเขา
แต่สิ่งที่ทำให้เริ่องนี้เกิดขึ้นได้ก็คือวิสัยทัศน์ของ CEO หนุ่ม ที่รีบฉวยโอกาสโดยเร็ว และเขาเล็งเห็นว่า บริษัทออนไลน์ต่างๆ นั้น เติบโตไวก็จริง แต่กระแสการเติบโตนั้นมันเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน และคนเบื่อหน่ายกันเร็ว เขาเลยมีสิ่งใหม่ๆ มาอัพเกรด และอัพเดท Facebook อยู่ตลอดเวลา!!!
Instagram ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่เชื่อมระหว่างผู้ใช้รายเก่า (จาก Facebook) กับผู้ใช้สื่อออนไลน์รุ่นใหม่ (Instagram) ที่ทำให้ความแปลกใหม่ไปเสริมในความเก๋าที่มีอยู่แล้วของเขา ซึ่งตอนนี้อินสตาแกรมก็มีผู้ใช้ทั้งหมดกว่า 400 ล้านคนเลยทีเดียว
ไม่หยุดที่จะพัฒนา
หนึ่งในข้อที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือ จากคอมเม้นท์ของเด็กสองคนนี้ ในวัย 15 ปีและ 16 ปี ที่ทาง BusinessInsider ได้ตั้งคำถามเพื่อสำควจความคิดเห็นในเรื่องของโซเชียลมีเดีย…
I use Facebook, but I feel like I can’t be myself on it because my parents and my friends’ parents are my Facebook friends. – ผู้ใช้วัย 16 ปี ‘ฉันใช้เฟซบุ๊คแต่เหมือนไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้เลย เพราะพ่อแม่ฉัน และเพื่อนๆ ของพ่อแม่ฉัน เป็นเพื่อนร่วมกันใน Facebook’
Snapchat and Instagram, I love sharing photos all of the things I do and places I go. I also like seeing what others are up to. — ผู้ใช้วัย 15 ปี ‘Snapchat และ Instagram สุดยอดไปเลย ฉันชอบที่จะแชร์ภาพสิ่งต่างๆ ที่ฉันทำ หรือสถานที่ต่างๆ ที่ฉันไป และฉันยังชอบดูสิ่งเหล่านี้จากคนอื่นอีกด้วย’
ซึ่งขณะนี้ Facebook เองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน และออกมายอมรับว่า ‘ปัจจุบันเหล่าผู้ใช้รุ่นใหม่ได้หันไปใช้บริการจากโซเชียลมีเดียระดับรองที่เหมือน หรือคล้ายกับของพวกเขามากขึ้น แถมจำนวนไม่น้อยเลย ยังหันไปใช้เวลากับโซเชียลมีเดียเหล่านั้นมากกว่า Facebook เสียอีก’
เทรนด์การใช้โซเชียลมีเดียใหม่ๆ
CEO ของบริษัทอย่าง Zuckerberg ก็ตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน (ซึ่งหลายๆ คนมองไม่เห็น ณ ตอนนั้น) และไม่เห็นด้วยกับเขา ที่ทุ่มเงินกว่า 1 พันล้านเหรียญ ซื้อ Instagram มาเป็นของ Facebook…แต่ตอนนี้ คงไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วยแล้วล่ะ!!!
ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีในการรู้ข้อดี-ข้อเสีย ข้อได้เปรียบ-ข้อเสียเปรียบของตัวเอง แล้วปรับมาใช้กับอนาคต เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่โชว์ให้เห็นถึงไอคิวและศักยภาพในการลงทุนของเขาจริงๆ ไว้วันหลังเหมียวจะหาบทความดีๆ แบบนี้มาให้ได้อ่านกันอีกนะจ๊ะ ^^
ที่มา: BusinessInsider
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.