หลายคนอาจจะเคยได้ยินเชื่อโรค ‘ดิสเล็กเซีย’ กันมาบ้างแล้ว บางคนอาจจะรู้จักในชื่อโรคอ่านหนังสือไม่ออก ซึ่งความจริงแล้วไม่ถึงกับอ่านไม่ออกหรอก แต่มีความบกพร่องทางการอ่านเท่านั้น ซึ่งคนที่มีอาการมักจะสะกดคำไม่ได้ อ่านไม่ได้ เนื่องจากการมองเห็นตัวอักษรนั้นสลับตำแหน่งไปมาตลอด
ความจริงแล้วโรคดิสเล็กเซีย (Dyslexia) ถือเป็นความผิดปกติด้านการเรียนรู้ (Learning Disorder) อย่างหนึ่งเลย อาจทำให้บางคนไม่สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เหมือนคนทั่วไป เด็กหลายคนก็อาจจะประสบปัญหานี้ แต่ผู้ปกครองไม่ทราบ และคิดว่าลูกเราอาจจะไม่เก่งจริงๆ จนบางทีส่งผลให้ลูกเราไม่สามารถเรียนร่วมชั้นกับเพื่อนๆได้ เพราะไม่สามารถทำงาน ทำการบ้าน หรือเรียนแบบเดียวกับเพื่อนได้นั่นเอง
นอกจากนี้ยังส่งผลต่อไปเรื่อยๆ ถึงขั้นว่าทำให้เด็กกลายเป็นเด็กเกเรไปเลย เนื่องจากไม่สามารถรวมกลุ่มกับเพื่อนได้ ดังนั้นหลายที่จึงมีการรณรงค์ให้ผู้ปกครองตรวจสอบเด็กๆ ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับการอ่านและการเขียนอยู่รึเปล่า เพราะอาจเข้าข่ายดิสเล็กเซียก็เป็นได้
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเด็กจะไม่สามารถเรียนรู้อะไรเลยได้ ถ้าเด็กมีความถนัดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และผู้ปกครองสามารถดึงศักยภาพของเด็กคนนั้นขึ้นมาได้ จะทำให้เด็กกลายเป็นอัจฉริยะไปเลยก็ได้นะ
นี่เหมียวไม่ได้พูดเอาเวอร์นะ เพราะมันมีตัวอย่างจริงๆ และบุคคลเหล่านั้นเราก็รู้จักกันเป็นอย่างดี โดยข้อมูลจากเว็บไซต์ dyslexia.com ได้รวบรวมรายชื่อคนดังที่เป็นโรคนี้ มีตั้งแต่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, ลีโอนาโด ดวินชี, ปีกัสโซ่, หรือจะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอย่าง จอร์จ วอร์ชิงตัน ก็เป็นโรคนี้กันทั้งนั้น
จากทั้งหมดนี้มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ ศิลปิน นักการเมือง ซึ่งถ้าเรามองดูแล้วก็จะรู้ว่าพวกเขานั้นใช้ความพยายามในการเรียนรู้มากกว่าคนปกติ รวมถึงรู้ว่าตัวเองถนัดอะไร และไปทางนั้นให้สุดทาง
แบบจำลองการมองเห็นตัวหนังสือ รูปแบบหนึ่งของคนที่เป็นดิสเล็กเซีย
จากเรื่องราวข้างบนนี้ ถึงแม้ดิสเล็กเซียจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ (จริงๆแล้วไม่ใช่โรคนะ) แต่ถ้าเราเรียนรู้ และสามารถดึงเอาความสามารถที่แท้จริงของเราออกมาได้ ก็จะทำให้เราเหมือนกับคนอื่นๆได้เหมือนกัน
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังสงสัยว่าลูกมีอาการนี้รึเปล่า ก็ลองให้ลูกเขียนหรืออ่านให้ฟังบ่อยๆ ถ้าเกิดว่าน้องทำผิดบ่อยจนรู้สึกแปลกๆ ไม่แน่ว่าลูกของคุณอาจจะเป็นดิสเล็กเซียก็เป็นได้ แต่ไม่ต้องกลัว ถ้าเลี้ยงดูอย่างถูกทางแล้ว ลูกคุณอาจจะกลายเป็นอัจฉริยะคนต่อไปเหมือนในตัวอย่างที่ยกมาก็ได้นะ
ที่มา disabled-world, dyslexia, lifebuzz
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.