วินาทีนี้คงไม่มีใครไม่พูดถึงหนังฮีโร่อย่าง Batman V Superman: Dawn of Justice ที่เรารอคอยกันมาเกือบ 3 ปี ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เราจะได้เห็นฮีโร่ฝั่ง DC มาพบกันในจอภาพยนตร์ ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากๆ เพราะการมาเจอกันของทั้งสองฮีโร่ที่เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กนั้นเป็นเรื่องเหนือจินตนาการ
วันนี้ #เหมียวสามสี ไม่ได้จะมาวิจารณ์หนัง แต่จะมาพูดถึงประเด็นต่างๆ ในหนังที่สะท้อนเรื่องราวมากมายในชีวิตเรา เรียกสั้นๆก็คือการตีความสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหนังนั่นเอง
ต้องบอกก่อนเลยว่าก่อนที่จะมาเป็นภาคนี้ ใน Man of Steel นั้น ทางผู้กำกับ แซ็ค ชไนเดอร์ ได้ปูทางไว้แล้วว่าตัวซุปเปอร์แมนหรือคลาร์ก เคนท์ นั้นเปรียบเหมือนพระผู้เป็นเจ้าลงมาโปรดมวลมนุษยชาติ เพราะเขาคือผู้ช่วยโลกนี้ไว้จากการบุกของเอเลี่ยน
ซึ่งในภาคก่อนหน้านี้มีสัญลักษณ์ต่างๆ มีสิ่งเป็นสัญลักษ์ให้พี่ซุปของเรานั้นเปรียบเหมือนพระเจ้าอยู่มาก เช่นการกางแขนแบบพระเยซู การที่มีภาพคลาร์กอยู่ข้างๆ รูปพระเยซู และอีกมากมาย
ใน Batman V Superman: Dawn of Justice นั้นจึงกลายเป็นภาคที่เอาไว้ตั้งคำถามว่าพี่ซุปของเรานั้นเป็นพระเจ้าจริงๆ หรือว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์เราคิดขึ้นมาเองว่าพี่แกคือพระเจ้า เพราะว่าคำว่า God ในเรื่องเยอะมากจริงๆ
ยกตัวอย่างเช่นเราจะได้เห็นการออกมาต่อต้านพี่ซุปของเรา เนื่องจากว่าเขาได้ทำเมืองเละจนมีผู้คนล้มตาย ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ออกมาต้อต้านก็คือบรูซ เวย์น หรือแบทแมน รวมถึงเล็กซ์ ลูธอร์ คู่อริตลอดการของพี่ซุป
ภายใน BvS นั้น เรียกได้ว่าเป็นหนังฮีโร่ที่ทำออกมาแตกต่างจากหนังฮีโร่อื่น เนื่องจากว่าเป็นการเล่าเรื่องราวที่มองจากมุมมองของประชาชนทั่วไป เหมือนอย่างเราที่มองเห็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นแล้วเกิดข้อสงสัยว่ามันมาดีหรือมาร้าย
ภายในเรื่องนั้นเราจะได้เห็นการยกยอให้พี่ซุปเป็นพระเจ้า การมองพี่ซุปเป็นภัยร้าย ความกลัวของประชาชนต่อสิ่งที่มาจากนอกโลก สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ BvS เป็นหนังที่มีโทนจริงจัง ซีเรียส ไม่เหมาะสำหรับคนอยากจะดูเอาบันเทิงสักเท่าไหร่
นอกจากนี้หนังยังสะท้อนเรื่องการเมืองได้ดีอีกด้วย ถึงแม้ว่าพี่ซุปของเราจะมีพลังอำนาจที่ใหญ่คับฟ้าเพียงใด แต่เมื่อมีคนเดือดร้อนจากสิ่งที่พี่แกก่อไว้ แกก็ยอมมาขึ้นศาลในฐานะคนปกติตามระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่มีใครใหญ่เกินใคร ทุกคนสามารถพูดคุยกันได้อย่างเสรี
ด้วยความที่ในภาคนี้มีปมมากมายที่อิรุงตุงนังยัดเข้ามา แต่เหมียวก็เข้าใจว่ามันเป็นการปูไปสู่ภาคต่อๆไปตามชื่อ Dawn of Justice ซึ่งปมพวกนี้มันสานต่อให้ตัวละครแต่ละตัวเติบโตขึ้น
ซุปเปอร์แมนผู้ที่ทุกคนยกให้เป็นพระเจ้า แต่ตัวเองกลับมองว่าเขาเป็นแค่คนธรรมดาที่ต้องการช่วยเหลือคนอื่น และเมื่อพระเจ้าทำผิด ก็ต้องไปขึ้นศาล แต่แล้วก็เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่เล็กซ์เป็นคนวางแผนไว้ คร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ถือเป็นฉากที่ทรงพลังมากๆ ทำให้พี่ซุปของเรานั้นต้องกลับไปคิดทบทวนว่าตัวเองมาถูกทางรึเปล่า เพราะว่าทำหน้าที่บกพร่อง ไม่ยอมมองเห็นระเบิด
อย่างตัวแบทแมนก็ยังมีปมนั่นก็คือความผิดพลาดในอดีตที่ฝังใจไม่รู้ลืม แบทเข้าใจความรู้สึกซุปด้วยการบอกให้ไปช่วยมาธาร์ หลายคนอาจจะมองว่า “นี่มึงคืนดีกันเพราะแม่ชื่อเหมือนกันเนี่ยนะ” แต่หนังมันปูทางมาอย่างดีแล้วว่าแบทนั้นมีปมเรื่องความหลัง โดยเฉพาะเรื่องพ่อและแม่ที่ถูกฆ่าต่อหน้า ทำให้เขาอ่อนแอทุกครั้งที่นึกถึง ซึ่งนั่นคือจุดอ่อนพอๆ กับตอนที่พี่ซุปเราเจอคริปโตไนต์นั่นเอง แต่การที่เขาเอาชนะความกลัวแต่ละอย่างไปได้ ก็ทำให้ได้เข้าใจและเติบโตขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเช่นเดียวกัน
ประเด็นต่อมาก็คือความเป็นสตรีนิยม (Feminism) ในตัวอยู่ไม่น้อย อันนี้ขอเท้าความไปหนังฮีโร่เรื่องอื่นๆ หน่อยละกัน มันเคยมีเรื่องเกิดขึ้นเมื่อมีคนออกมาจุดประเด็นใน Avengers: Age of Ultron ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงกลายเป็น trouble maker (คนสร้างปัญหา) ทำเอากลุ่มสตรีนิยมไม่พอใจถล่มด่าในทวิตเตอร์กันยกใหญ่ อีกทั้งยังทำให้ภาพลักษณ์ของแบล็กวิโดว์ กลายเป็นคนที่คอยเก็บกวาดหรือคอยรับใช้ฮีโร่ตัวหลักๆ อยู่ตลอด
กลับมาที่ BvS จากการปรากฎตัวของวอนเดอร์ วูแมน ฮีโร่หญิงสุดแกร่งนั้น ทำให้ภาพลักษณ์ฮีโร่ผู้หญิงกลายเป็นผู้นำได้อย่างน่าเหลือเชื่อ คนที่ดูมาแล้วก็คงจะรู้ว่าเธอทำให้เราขนลุกมากๆ จากการต่อสู้ในฉากสุดท้าย
รวมถึงท่านส.ว. หญิงฟินช์ ที่ยืนหยัดในอุดมการณ์ของตัวเอง ไม่ยอมแพ้ต่ออำอาจเงิน อำนาจของเล็กซ์ ที่พยายามทำให้เธอใส่ร้ายพี่ซุปของเรา แต่เธอก็ไม่ยอม เพราะต้องการจะเจรจาตามระบอบประชาธิปไตย
หรืออย่างลูอิส เลน แฟนของพี่ซุปนั้นก็ทำออกมาในภาพลักษณ์หญิงนักข่าวสาวที่พร้อมจะลุยอันตรายได้ทุกเมื่อ ซึ่งตอนดูแรกๆ ก็รู้สึกตะหงิดว่าเธออาจจะทำให้กลายเป็น trouble maker อีกคนรึเปล่า แต่ไม่เลย ถึงแม้ว่าพี่ซุปจะมาช่วยชีวิตลูอิสทุกครั้ง แต่นั่นก็ทำให้พี่ซุปของเราคิดอะไรบางอย่างได้ ทำให้ตัวละครเติบโตขึ้น ซึ่งลูอิสก็เคารพการตัดสินใจของเขาด้วยเช่นกัน
Batman V Superman: Dawn of Justice ไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน เห็นได้ชัดว่าเสียงวิจารณ์ที่หลุดไปคนละขั้ว ดังนั้นถ้าคุณหวังว่าอยากจะได้ความสนุก อันนี้คงได้เพียงน้อยนิด แต่สิ่งที่คุณได้แน่นอนก็คือมุมมองฮีโร่จากประชาชนคนตาดำๆ ซึ่งไม่มีเรื่องไหนทำแบบนี้มาก่อน
อันนี้ขอวิเคราะห์ตัวผู้กำกับนิดนึงแล้วกัน เหมียวมองว่าพี่แซ็คของเราเล่าเรื่องนี้แบบผิดขั้นผิดตอนไปหน่อย ถ้าคนชอบฮีโร่ เป็นแฟน เป็นติ่งไปดู อันนี้น่าจะชอบ เพราะเหมียวก็ชอบ หนังมันตอบโจทย์สิ่งที่เราอยากเห็นมากๆ เหมือนผู้กำกับรู้ว่าแฟนคอมมิคอยากเห็นอะไร ได้เลย กูจัดให้ ประมาณนั้น
แต่พี่แกลืมไปว่ายังมีอีกหลายคนไม่ได้ติดตามหนังสือการ์ตูนถึงขั้นนั้น มันจึงทำให้ความรู้สึกตอนดูเหมือนยัดอะไรไม่รู้เข้ามามากมายจนรับแทบไม่ทัน แถมปูเรื่องนานจนบางคนงงว่าตกลงมันหนังฮีโร่หรือหนังชีวิต ซึ่งตรงนี้หลายคนก็ไม่ชอบ แต่เหมียวชอบมาก
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.