ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ชาวจีนแผ่นดินใหญ่จำนวนมากได้ออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในเอเชีย ยุโรป หรืออเมริกา และด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมและความคิดอย่างสุดกู่ ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเหล่านั้นกลายเป็นที่เอือมระอาของชาวบ้านประเทศเจ้าถิ่นเป็นอย่างมาก
เมื่อคนจีนมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น….
พฤติกรรมแย่ๆ เรามักพบเห็นในเหล่านักท่องเที่ยวจีนก็อย่างเช่น การแซงคิว การขับรถที่น่าหวาดเสียว การตักอาหารในร้านบุฟเฟ่แบบเกินความจำเป็น การพูดคุยเสียงดังในที่สาธารณะ และอื่นๆ อีกมากมายที่ต่อให้เล่าภายในหนึ่งวันก็อาจไม่หมด
หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมพฤติกรรมเหล่านั้น จึงมักปรากฏในตัวของชาวจีน พวกเขาใช่เป็นกลุ่มชนที่ไร้อารยะอย่างที่พวกเราตราหน้าจริงหรือ!? แล้วทำไมพวกเขาจึงมีพฤติกรรมเช่นนั้น เราลองไปหาสาเหตุกันดีกว่า??
ประเทศที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน…
อย่างที่ทราบกันดีว่า ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาวกว่า 4,500 ปี ตลอดช่วงเวลานั้น มีนักปราชญ์ชื่อก้องโลกหลายต่อหลายคนถือกำเนิดขึ้นมาบนแผ่นดินมังกรแห่งนี้ และประเทศจีนก็เป็นดินแดนแรกๆ ที่เริ่มประดิษฐ์กระดาษและดินปืนขึ้นมาใช้อีกด้วย
แน่นอน ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานขนาดนี้ พวกเขาย่อมเป็นดินแดนที่มีประเพณีและวัฒนธรรมงดงามไม่แพ้ชนชาติใดๆ ในโลกอย่างแน่นอน อย่างเช่นลัทธิเต๋าและขงจื้อที่เป็นหลักจริยธรรมและวิถีการดำเนินชีวิตให้กับชาวฮั่นมาตลอดหลายร้อยปี
เรดการ์ด และ การปฏิวัติวัฒนธรรม
แต่จนกระทั่งช่วงปี 1960 ประเทศจีนเข้าสู่ยุคคอมมิวนิสต์ ที่มี เหมาเจ๋อตุง เป็นผู้นำสูงสุด ตอนนั้นเขาเริ่มสูญเสียฐานอำนาจในพรรคคอมมิวนิสต์ของตนเอง ด้วยความกลัวที่จะเสียอำนาจนั้น เขาใช้ข้ออ้างในการ “ปกป้องพรรค” จาก “พวกทุนนิยม” ด้วยการสร้างกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งขึ้นมาเรียกว่า เรดการ์ด (Red Guard)
เรดการ์ดคือกลุ่มคนที่ศรัทธาในลักธิคอมมิวนิสต์อย่างแรงกล้า พวกเขาเชื่อว่าลักธิทุนนิยมและผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับท่านผู้นำคือบ่อนทำลายชาติโดยแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น วัฒนธรรมและประเพณีโบราณของจีนคือสิ่งที่ฉุดรั้งไม่ให้ชาติพัฒนาไปไหน
ในตอนที่สร้างกลุ่มเรดการ์ดขึ้นาเหมาเจ๋อตุงมุ่งเป้าไปยังกลุ่มเยาวชนเลือดร้อน เขาใช้คำขวัญชาตินิยมในการปลุกเร้าเยาวชนเหล่านั้น ด้วยความเด็กและอ่อนด้อยประสบการณ์ เยาวชนเหล่านั้นหลงเชื่อและกลายเป็นเครื่องมือของเหมาเจ๋อตุงอย่างง่ายดาย หากใครมีท่าทีขัดขืนหรือไม่เห็นด้วยกับท่านผู้นำ พวกเขาก็พร้อมจะปลิดชีพมันผู้นั้นในทันที แม้คนๆ นั้นจะเป็นพ่อแม่พี่น้องแท้ๆ ของตนเองก็ตาม
เหมาเจ๋อตุงจึงใช้ประโยชน์จากพวกเรดการ์ดในการกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตนเอง โดยอ้างว่าเป็นพวกฝักใฝ่ทุนนิยม และเขาสั่งให้พวกเรดการ์ดทำลายโบราณสถานและคัมภีร์โบราณให้หมดสิ้น รวมถึงเหล่านักปราชญ์ นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ต่างๆ ก็ด้วยเช่นกัน เรียกว่าเป็นช่วง “ปฏิวัติวัฒธรรม” ของประเทศจีนเลยทีเดียว
ตลอดสิบปีที่เหมาเจ๋อตุงใช้นโยบายปฏิวัติวัฒนธรรมนี้ ว่ากันว่ามีแหล่งโบราณสถาน โบราณวัตถุ รวมถึงคัมภีร์ที่ประเมินค่าไม่ได้มากมายถูกทำลายไป รวมถึงมีประชาชนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ถึงหนึ่งล้านคน (ชาวจีนอพยพระลอกที่สอง ก็มาจากเหตุการณ์นี้เอง) จนประเทศจีนแทบจะกลายเป็นประเทศที่ไร้วัฒนธรรมไปเลยทีเดียว
ที่น่าเศร้าคือ เมื่อเหล่าเรดการ์ดบางคนเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาก็เพิ่งมาสำนึกได้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำไปนั้น เป็นเรื่องเลวร้ายขนาดไหน และพวกเขาไม่มีวันนำสิ่งที่มีค่าทางประวัติศาสตร์เหล่านั้นกลับมาได้อีกแล้ว
จีนในปัจจุบัน และแนวทางแก้ปัญหา…
แม้หลังจากหมดยุคของเหมาเจ๋อตุง ผู้นำจีนชุดใหม่ได้พยายามรื้อฟื้นวัฒนธรรมขึ้นมาอีก แต่ความเสียหายจากช่วงเวลาสิบปีนั้นรุนแรงเกินจะแก้ไขได้ในช่วงเวลาสั้นๆ และตอนนั้นเอง ประเทศจีนก็เร่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตนเอง ประชาชนในประเทศต่างต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ จนวิถีชีวิตในสังคมแทบไม่มีที่ว่างให้กับความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน แน่นอน จริยธรรมประเพณีอันดีงามก็เช่นกัน
ตอนนี้ นายสี จิ้นผิง ผู้นำจีนคนปัจจุบันเริ่มทราบแล้วว่า ประชาชนของตนเองนั้นมีข้อบกพร่องอย่างไรในสังคมโลก แม้พวกเขาจะร่ำรวยหรือพัฒนาทางวัตถุถึงเพียงไหน แต่หากไม่มีมารยาทและพฤติกรรมันดีงามแล้ว ยากนักที่ประชาคมโลก จะยอมรับพวกเขาในฐานะชาติผู้นำของโลกยุคใหม่
พวกเขาเริ่มมีการรณรงค์สอนมารยาทเบื้องต้นในการไปต่างประเทศ รวมถึงปลูกฝังมารยาทเบื้องต้นในสังคมโลกให้กับเด็กๆ รุ่นใหม่ๆ ในประเทศ สิ่งที่ผ่านมาแล้วอาจแก้ไขไม่ได้ แต่สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น พวกเขาเชื่อว่าจะทำมันให้ออกมาดีได้อย่างแน่นอน
ก็ต้องรอชมกันต่อไปว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าไม่มีอะไรที่คนจีนทำไม่ได้อย่างแน่นอน จริงมั้ยล่ะ!!
เรียบเรียงโดย #เหมียวอ๊อดโด้
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.