สำหรับประเพณีการฝังศพนั้น ก็เรียกได้ว่ามีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เพราะว่าอะไรน่ะเหรอ?? เพราะตั้งแต่แรกเริ่มมนุษย์ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับโลกหลังความตายกันแล้วน่ะสิ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าฝังรากลึกมากๆ จนมาถึงปัจจุบันเลยทีเดียว
แถมล่าสุดจากการสันนิษฐานจากนักวิทยาศาสตร์ประเทศแห่งสหราชอาณาจักรนั้นก็พบว่า หลุมฝังศพมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุกว่า 6,000 ปีในประเทศโปรตุเกสนั้น อาจไม่ใช่แค่ที่ฝังร่างธรรมดาซะแล้ว เพราะอาจเรียกได้ว่าเป็น ‘กล้องโทรทรรศน์’ รุ่นแรกของโลกเลยทีเดียว!!!
กล้องโทรทรรศน์รุ่นแรกของโลก!?
ถ้าจะพูดถึงกล้องโทรทรรศน์นั้น บอกง่ายๆ เลยก็คือกล้องพลังสูงที่เราใช้ส่องดูดวงดาวต่างๆ ที่อยู่ห่างออกไปนั่นเอง และที่มีชื่อเสียงสุดในตอนนี้ก็คงไม่พ้นกล้องโทรทรรศน์ฮับเบิลของทาง NASA นั่นแหละ ที่ถ่ายภาพอวกาศอันไกลโพ้นสวยๆ มาให้เราได้ชมกัน
แต่ไอเดียเรื่องกล้องโทรทรรศน์นั้นไม่ได้พึ่งมีมาหรอกนะจ๊ะ เพราะนักโบราณคดีเชื่อว่าหลุมฝังศพเหล่านี้นี่แหละ คือ ‘กล้องโทรทรรศน์รุ่นแรก’ ที่เป็นแบบไร้เลนส์ เพื่อทำให้มนุษย์ในยุคโบราณสามารถสังเกต และมองเห็นท้องฟ้าในยามค่ำคืนได้ดีขึ้น
กล้องโทรทรรศน์ไร้เลนส์
หลักๆ แล้วความสามารถของมันก็คือปล่องหรือรูทางเดินของหลุมฝังศพนั้นจะทำหน้าที่เหมือนตัวกล้อง แต่ไม่มีเลนส์เป็นอย่างใด นักดาราศาสตร์ Fabio Silva แห่ง University of Wales Trinity Saint ได้กล่าวว่า…
‘รูยาวๆ ตรงส่วนทางเดินของหลุมฝังศพนั้นจะทำหน้าที่เหมือนเป็นกล้องโทรทรรศน์ไร้เลนส์ มีประโยชน์ต่อผู้ใช้ 2-3 อย่างนั่นก็คือการทำให้พวกเขาเพ่งสมาธิไปที่กลุ่มดาวดวงนั้นๆ ได้โดยตัดความสนใจต่อกลุ่มดาวอื่นๆ โดยรอบ ลดแสงของสภาพแวดล้อมใกล้เคียงทำให้เราสามารถมองเห็นดวงดาวได้ชัดเจนขึ้นจากความมืด’
ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ซะแล้วล่ะงานนี้!!!
แถมทีมวิจัยจากทาง Nottingham Trent University. ก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะจะสังเกตได้จากหลุมศพเหล่านี้หลายๆ แห่งในโปรตุเกสนั้น ตามจุดต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญอย่างแน่นอน เพราะมีลักษณะที่เหมือนกันมากๆ
แถมหลุมฝังศพเหล่านี้มีความเชื่อมโยงถึงกันก็คือ การมีทิศทางที่ชี้ไปยัง ‘ดาวอัลดิบาแรน’ ดาวฤกษ์สว่างที่สุดในกลุ่มดาววัว และเป็นหนึ่งในดาวฤกษ์ที่สว่างที่สุดบนท้องฟ้ายามค่ำคืนล่ะ
หลักๆ แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็คาดว่ามนุษย์ในยุคโบราณใช้การสังเกตดวงดาวเป็นตัวบอกช่วงเวลาของฤดูกาลนั้นๆ ว่าเมื่อไหร่ที่จะควรย้ายขึ้นไปยังที่สูงขึ้น หรือว่าฤดูหนาวกำลังจะมาเยือนในตอนไหน (ทำหน้าที่คล้ายๆ กับปฏิทินนั่นเอง)
พออ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่ามีภูมิปัญญามากมายเลยทีเดียว ที่สูญหายไปตามกาลเวลา การพยายามเรียนรู้ภูมิปัญญาของพวกเขานั้น ไม่แน่ว่าเราอาจต่อยอดไปในเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก็ได้นะเนี่ย
ที่มา: BusinessInsider
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.