สำหรับใครที่เด็กๆ ที่เป็นแฟนมวยปล้ำล่ะก็ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขาคนนี้ “The Rock” หรือชื่อจริงของเขาก็คือ Dwayne Johnson ที่ในตอนนี้ เขากลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ระดับโลกขนาดที่ไม่ใช่แฟนมวยปล้ำก็ตาม คงจะพอรู้จักเขาอยู่
กระนั้นชีวิตที่ผ่านมาของเขานั้นก็ไม่ได้โรยมาด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างไร เจอมาหมดทั้งความผิดหวัง ความท้อแท้ และสถานการณ์สุดสิ้นหวังในชีวิต…
จากนักอเมริกันฟุตบอลผู้ล้มเหลว สู่การเป็นแอคชั่นสตาร์ระดับโลก วันนี้ #จ่าสิบเหมียว เลยอยากพาเพื่อนๆ ไปฟังเรื่องราวของเขาคนนี้กัน ไม่แน่ เราอาจได้อะไรดีๆ จากเรื่องราวของเขาสักอย่างสองอย่างนำไปใช้ในชีวิตของเรากันบ้างเลยล่ะ!!!
ปี 2015 เขาสามารถทำเงินได้ถึง 64.5 ล้านเหรียญ (2,257 ล้านบาท) ทำให้เขาเป็นักแสดงที่รวยที่สุดอันดับที่ 19 จากนิตยสาร Forbes
ก่อนที่เขาจะโด่งดังอย่างทุกวันนี้ ภาพนี้คือหนูน้อย The Rock เขาวันที่ 2 พฤษภาคม 1972 ที่ Hayward, California ประเทศสหรัฐอเมริกา
เขามีสายเลือดนักมวยปล้ำอยู่เต็มตัว พ่อของเขา Rocky “Soul Man” Johnson เป็นนักมวยปล้ำแอฟริกัน-อเมริกันรายแรกที่สามารถเป็นแชมป์แท็กทีมได้ ปู่ของเขาก็เป็นนักมวยปล้ำชาวซามัวคนแรกเช่นกัน
แต่ The Rock ไม่ได้ก้าวสู่วงการมวยปล้ำเลยตั้งแต่แรก ตอนแรกเขาเป็นนักอเมริกันฟุตบอลให้กับโรงเรียนทีม Miami Hurricanes จากผลงาน 39 เกมกับอีก 77 การแท็กเคิล ส่งผลให้เขาติดทีมเยาวชนปี 1991 อย่างไร้ข้อกังขา
University of Miami คือที่ๆ เขาพบภรรยาคนแรกของเขา Dany Garcia หลังจากอยู่กินกับมา 10 ปีทั้งสองก็หย่าร้างกัน แต่ยังสนิทและคุยกันอยู่ ตอนนี้พวกเขาก็ช่วยกันเลี้ยงลูกสาววัย 11 ปีของพวกเขา Simone
หลังจากได้รับบาดเจ็บอย่างหนักบริเวณหัวไหล่และส่วนหลัง ทำให้เขาต้องเลิกเล่นอเมริกันฟุตบอลอย่างถาวร งั้นไม่แน่ตอนนี้เราอาจเห็นเขาไปเป็นสตาร์ที่ศึกคนชนคน NFL ก็เป็นได้…
สุดท้ายแล้วเขาระหกระเหินไปเล่นในลีกรองในประเทศแคนาดา ได้รับค่าเหนื่อยราวๆ 250 เหรียญต่อสัปดาห์เท่านั้น ‘มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายสำหรับผมมาก ผมมีความฝัน แต่พวกเขาย่ำยีมัน ผมหย่าร้างกับภรรยา ตอนนั้นเป็นช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิตของผม’
หลังจากนั้นเขาก็ไปค้นหาตัวเองในธุรกิจของครอบครัว ‘มวยปล้ำ’ นั่นเอง หลังจากฝึกฝนในลีกเล็กอยู่นาน ในปี 1996 เขาก็ได้ขึ้นโชว์จริงใน Survivor Series ตอนนั้นเขาใช้ชื่อว่า Rocky Maivia จากการผสมของชื่อปู่และพ่อของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นระดับตำนานของวงการ (แฟนหลายๆ คนยังยกให้เขาเป็นนักมวยปล้ำที่เก่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาอีกด้วย)
เขากลายเป็นขวัญใจแฟนๆ โดยเฉพาะท่าไม้ตายที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ‘ศอกมหาชน’ และ ‘ร็อคบัททั่ม’ มาถึงจุดๆ นี้ตอนเด็กๆ หลายๆ คนคงเคยใส่ท่านี้กับเพื่อนๆ กันบ้างล่ะเนาะ ฮ่าๆๆๆๆ
แน่นอนว่าอาชีพนักมวยปล้ำของเขานั้นประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นแชมป์เฮฟวี่เวทของ WWE ถึง 6 ครั้งและแชมป์แท็กทีมอีก 5 ครั้งด้วยกัน
ความโด่งดังของเขาในสังเวียนนั้น กรุยทางไปสู่ฮอลลีวู้ดให้กับเขา เริ่มด้วยการจัดรายการอย่าง “Saturday Night Live” โดยเขาได้รับเกียรติให้ไปเป็นพิธีกรในรายการ
การไปเป็นนักแสดงใน SNL ซิทคอมฮาๆ ที่ประสบความสำเร็จเรียกเรทติ้งได้อย่างมาก และที่สำคัญที่สุด กลายเป็นสัญญาณบ่งบอกโปรดิวเซอร์หลายๆ รายเลยทีเดียวว่าเขาไม่ได้เป็นแค่นักมวยปล้ำเฉยๆ นะ เขายังสามารถแสดงได้ดีอีกด้วย!!!
ในปี 2001 เขาได้ไปเล่นเป็นราชันย์แมงป่องใน The Mummy Returns และด้วยหน้าตาอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ภายในเวลาไล่เลี่ยกันเขาก็ได้รับบทในหนัง “The Scorpion King” ซะเอง งานนี้เขาได้รับเงินกว่า 5 ล้านเหรียญ ถือว่าสูงทีเดียวสำหรับเรื่องแรกที่เขาได้รับบทนำ
ในปี 2003 “The Rundown” ยิ่งปลุกความเป็นแอคชั่นฮีโร่ในตัวเขาให้เพิ่มมากขึ้น Rolling Stone เคยเขียนเกี่ยวกับเขาไว้ด้วยว่า ‘The Rock ไม่ได้เป็นแค่นักแสดงแอคชั่นดุเดือดเท่านั้น แต่เขายังฝังมุกฮาๆ ไว้ด้วยเสมอ’
หลายๆ คนคิดว่า Arnold Schwarzenegger เป็นสุดยอดแอคชั่นฮีโร่มาเสมอ และตอนนี้เขาก็ได้ส่งต่อความเป็น No.1 มาให้กับ The Rock แล้วล่ะ
หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการทิ้งชื่อ “The Rock” ไว้เบื้องหลังโดยกล่าวว่า ‘การเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัวของผมนั้นทำให้ผมต้องทิ้งชื่อเดอะร็อคไว้เบื้องหลัง ชื่อนี้คือตัวละครที่ผมสร้างขึ้นมาในการแสดง ตอนนี้ถึงเวลาชื่อจริงของผมแล้วล่ะ’ เขากล่าว…กระนั้นหลายๆ คนก็ยังคงเรียกเขา the Rock อยู่ดี ฮ่าาา
เขาเริ่มรับบทบาทการแสดงมากขึ้นทั้ง “The Game Plan” ปี 2007 และหนังตลกอย่าง “The Other Guys” ในปี 2010
และที่ได้รับการจับตามองที่สุดก็คือเรื่อง “Fast and the Furious” ภาค 5 ที่ได้รับบทบาทประกบ Vin Diesel หนึ่งในบิ๊กเบิ้มของวงการ ‘ผมรู้จักวินมานานแล้วล่ะ ผมเคยพูดเสมอว่าอยากทำงานสักอย่างร่วมกับเขา และโอกาสนั้นก็ได้เข้ามาหาผมแล้ว’
ฟาสต์ 5 ยังเป็นโอกาสให้เขาได้กลับมาทำงานกับสตูดิโอของทาง Universal สถานที่แห่งแรกที่เขาเริ่มงานแสดงด้วย ‘ยูนิเวอร์แซลเชื่อมั่นในผม ตอนช่วงเปลี่ยนผ่านจากอาชีพมวยปล้ำมาสู่การแสดง พวกเขาเป็นแห่งแรกที่ให้โอกาสผม’
ผลก็คือเขาโด่งดังเป็นพลุแตก Fast 5 สามารถทำเงินได้ถึง 676 ล้านเหรียญ (23,660 ล้านบาท) และภาคต่อๆ ก็คือทั้ง Fast 6 และ 7 อีกสองภาคต่อมาทำเงินได้อีกกว่า 1,500 ล้านเหรียญ (52,5000 ล้านบาท) เลยทีเดียว!!!!
นอกจากนี้ก็มีงานแสดงต่างๆ อีกมากมายทั้ง “G.I. Joe: Retaliation” กับ “Journey 2: The Mysterious Island”
“Pain and Gain” ที่ต้องรับบทเป็นหนุ่มนักเพาะกายจิตป่วนในปี 2013 เขาต้องกินอาหารถึง 17 มื้อต่อวันเลยทีเดียวเพื่อให้ได้กล้ามแบบนั้น
ส่วนตอนนี้เพื่อร่างกายของเขาที่ต้องใช้ในการแสดง เขาได้ให้สัมภาษณ์กับ Muscle and Fitness ว่าเขาทานอาหารราวๆ 7 มื้อต่อวัน และตื่นมาออกกำลังกายตั้งแต่ตี 4 ทุกๆ เช้า
เขาก็ยังคงกลับไปสังเวียนมวยปล้ำเสมอในอีเว้นท์พิเศษๆ เช่น Wrestlemania ‘ผมกลับมา แน่นอนไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เพราะผมชอบมวยปล้ำ’ เขากล่าวไว้
ผลงานล่าสุดที่ค่อนข้างจะฮือฮาเลยทีเดียว กับภาพยนตร์แผ่นดินไหวของเขา “San Andreas” สำหรับตอนนี้ก็เตรียมดูภาคต่อกันเลยจ้าเพราะมีข่าวลือมาหนักอยู่เช่นกันว่ากำลังดำเนินการกันอยู่!!!
ปีก่อนเขาได้แสดงในซีรีย์ของ HBO ชื่อว่า “Ballers” เรื่องราวเกี่ยวกับนักอเมริกันฟุตบอลเก่าที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นผู้จัดการด้านการเงิน สำหรับตอนนี้ก็เริ่มถ่ายซีซั่น 2 กันแล้วล่ะ
“Central Intelligence” ภาพยนตร์ขำขันในปีนี้ ที่ทำรายได้ถึง 110 ล้านเหรียญ แถมยังเป็นภาพยนตร์ตลกที่มีคนพูดถึงมากที่สุดในขณะนี้ด้วยล่ะ
ช่วงปลายปีนี้ก็มีข่าวคราวว่า The Rock จะไปร่วมงานกับดิสนีย์ พากย์เสียงของตัวการ์ตูน Maui ในเรื่อง Moana
Baywatch รับบทคู่กับหนุ่มสุดฮอตอย่าง Zac Efron
และล่าสุดที่พลาดไม่ได้ ภาพถ่ายจาก Fast and Furious เห็นแค่นี้ก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กันแล้วววว อิอิ
เห็นมั้ยล่ะเพื่อนๆ ชีวิตของเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเลยนะ แต่เรื่องราวของเขาทำให้เราได้เห็นอย่างหนึ่งว่า The Rock เป็นคนที่ไม่หยุดนิ่งจริงๆ เขาขยันมาก งานอะไรมาก็รับหมด และที่สำคัญพัฒนาตนเองเรื่อยๆ หวังว่าเพื่อนๆ หลายๆ คนคงได้อะไรจากเรื่องราวของเขากันบ้างเนาะ ^^
.
ที่มา: BusinessInsider
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.