แม้จะมีชื่อย่อว่า JB เหมือนกัน แต่ Jason Bourne ก็แทบไม่มีอะไรที่เหมือนกับ James Bond เลย ทั้งจนกว่า แต่งตัวลุยๆ ไม่มีสูทหรูๆ ไม่มีสาวสวยข้างกาย ไม่มีอุปกรณ์ไฮเทค หรือแม้แต่ทีมงานคอยช่วยเหลือเขา แต่นั่นแหละทำให้หนังชุดนี้ดูมีเสน่ห์แตกต่างจากสายลับคนอื่นๆ
Jason Bourne ถือเป็นหนังสายลับภาคต่อ ภาคที่ 5 แล้วของหนังชุดนี้ แม้ในภาคที่ 4 จะมีการเปลี่ยนตัวพระเอกจาก Matt Damon มาเป็น Jeremy Renner ก็ตาม แต่เราก็จะทำเป็นลืมๆ มันไปว่าเคยมีหนังเรื่องนั้นมาก่อน เราจะมาว่าถึงหนังภาคนี้และ 3 ภาคแรกกันเลย
อย่างแรกที่ต้องบอกคุณก่อนก็คือหากคุณไม่เคยดู 3 ภาคแรกมาก่อน คุณจะงงแน่ๆ เพราะหนังจะเล่าถึงตัวตนของ Bourne ในช่วงที่ความจำของเขาขาดๆ หายๆ และมันจะมีความต่อเนื่องกันของเหตุการณ์อื่นๆ และองค์กรเทรดสโตน (ที่น่าจะล้มหายตายจากไปตั้งแต่ภาค 3 แล้ว)
แม้ว่าตามเนื้อเรื่องแล้ว Jason Bourne จะรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองใน 3 ภาคแรกไปแล้ว แต่ด้วยความที่ตัวละครยังไม่สามารถดึงเอาความทรงจำกลับมาได้ทั้งหมด มันจึงเปิดโอกาสให้คนเขียนบทและผู้กำกับดึงเอาอะไรมาใส่ตัวละครนี้ได้อีกเพียบ
ความสนุกของตัวละคร Jason Bourne ก็คือการที่เราได้เห็นเขาเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ ด้วยอุปกรณ์ทุกอย่างรอบๆ ตัวเขา แต่ก็ไม่ได้แกร่งเกินมนุษย์มนาอะไรมากนักหรอก (แต่ฉากต่อยหมัดเดียวจอดในตัวอย่างนั้นก็ดูเวอร์ๆ ไปนิด)
ส่วนที่หนังภาคนี้ทำได้ดีมากถึงมากที่สุดคือฉากการไล่ล่า การต่อสู้ตลอดทั้งเรื่อง มันดูยิ่งใหญ่กว่าที่ผ่านๆ มามาก ในภาคนี้เราจะได้เห็นการขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ล่ากลางฝูงชนนับร้อย หรือการขับรถไล่ล่ากันกลางเมือง ประหนึ่งว่าเป็น Fast & Furious ยังไงยังงั้น
แต่จุดอ่อนของภาคนี้เลยก็คือตัวเนื้อเรื่องที่ซ้ำๆ กับภาคแรกๆ อยู่หน่อย มันจะวนๆ เวียนๆ อยู่กับความทรงจำ การตามหาตัวตน และองค์กรเทรดสโตน แล้วยิ่งได้ตัวร้ายที่ร๊ายร้าย ร้ายแบบมีมิติเดียว มันทำให้ตัวละครเหล่านั้นขาดเสน่ห์ ซึ่งตัวร้ายยุคใหม่มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้นกันแล้ว
แต่ก็นั่นแหละ ฉากแอ็คชั่นมันสนุกและลุ้นมากจนเราทำเป็นลืมๆ ไปว่าหนังมันมีจุดด้อยตรงไหนบ้าง เอาง่ายๆ ฉากต่อยกันของ Jason Bourne ทำให้เรารู้สึกเกร็งมือเกร็งขาเกร็งคอตามไปด้วยเลยนะ สนุกเบอร์นี้เลยทีเดียว!!
สรุปแล้ว เรื่องนี้เอาไป B+ เลยจ้า!!
เรียบเรียงโดย เหมียวฟิ้น
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.