เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมกันมากสำหรับการทำหนังภาคต่อ 2-3 ภาค ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่กำลังดี แต่เราก็เคยเห็นกันมาแล้ว บางเรื่องปาเข้าไป 7-8 ภาคเลยทีเดียวล่ะ แน่นอนว่าการทำหนังภาคต่อก็ต้องถูกเปรียบเทียบกันบ้าง และมักจะถูกกล่าวหาว่าแย่กว่าภาคแรกบ่อยๆ
วันนี้ #จ่าสิบเหมียว ก็ได้นำเอาลิสต์ของ 20 หนังภาคต่อที่ทำออกมาดีกว่าหนังภาคแรกของทาง Business Insider ว่าแล้วเราลองมาดูกันเลยว่ามีเรื่องไหนบ้าง แล้วจะเป็นไปตามอย่างคุณคิดเอาไว้รึเปล่า?
“Toy Story 2” (1999)
ถึงภาคแรกจะมีทั้งความน่ารักและเป็นเรื่องแอนิเมชั่นสุดน่ารักขนาดไหน แต่ภาคต่อของมันกลับตีแผ่เรื่องราวเกี่ยวกับความดีงามและมิตรภาพมากกว่า
“Harry Potter and the Prisoner of Azkaban” (2004)
เป็นที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนานว่าในเวอร์ชั่นของหนังสือ ภาคนี้เป็นภาคที่ดีที่สุด และเวอร์ชั่นของภาพยนตร์ก็เช่นกัน Alfonso Cuarón คือผู้กำกับที่ร้อยเรียงความเหนือจินตนาการของเรื่องนี้ออกมาได้ดีมากๆ
“Mad Max 2: The Road Warrior ” (1981)
ถึงแม้ภาคแรกจะได้รับคำชมเป็นอย่างมากว่าสะท้อนให้เห็นถึงโลกหลังการล่มสลายได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ภาคต่อ The Road Warrior นี้อัพเกรดตัวละครหลักให้โหดดิบเถื่อนมากขึ้นในโลกอันโหดร้าย ทำให้เขาไม่ได้เป็นแค่ชายเร่ร่อนกระจอกๆ อีกต่อไปแล้ว!!!
“Bill & Ted’s Bogus Journey” (1991)
สำหรับภาคต่อของหนังเรื่องนี้ต้องบอกว่า Keanu Reeves แสดงออกมาได้สมบทบาทมาก ทั้งโง่ ทั้งตลก โดยเฉพาะฉากที่เล่นบาสโดยใช้หัว เป็นอะไรที่เข้ากั๊น เข้ากัน
“National Lampoon’s Christmas Vacation” (1989)
แฝงไปด้วยมุกตลกทั้งเรื่อง เรียกได้ว่าฮากันทุกๆ 2-3 วินาทีเลยทีเดียว (มุกฝรั่งๆ หน่อยนะ ฮร่าา)
“Blade II” (2002)
Guillermo del Toro สร้างภาคนี้ออกมาได้ดีที่สุดก็ว่าได้ แถมทำให้แวมไพร์ดูน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิมอย่างที่มันควรจะเป็น
“22 Jump Street” (2014)
ภาคต่อของ 21 Jump Street เป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายเป็นอย่างมากเพราะว่าภาคแรกทำออกมาได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ภาคนี้ฉีกความคาดหวังว่ามันจะห่วยซะกระจุย ต้องขอบคุณสองผู้กำกับอย่าง Phil Lord และ Chris Miller
“Army of Darkness” (1992)
ซีรีย์ของ Evil Dead นั้นทำออกมาดีอยู่แล้ว แต่ภาค Army of Darkness นั้นป่าเถื่อนสุดจินตนาการ แถมยังสนุกสุดๆ อีกด้วยล่ะ โดยเฉพาะฉากสต็อปโมชั่นของกองทัพโครงกระดูกนี่คือตำนานเลยทีเดียว
“The Bride of Frankenstein” (1931)
Frankenstein ภาคแรกก็ออกมาดีและเป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว ภาคต่อก็คงไม่จำเป็นสำหรับหนังเรื่องนี้ แต่ The Bride of Frankenstein กลับทำออกมาได้ฉีกแนวมาก เป็นหนังสยองขวัญที่จะไม่ทำให้คุณกลัว และไม่เคยมีหนังสยองขวัญใดๆ ที่ทำออกมาได้เหมือนกับเรื่องนี้…
“The Dark Knight” (2008)
ต้องบอกว่าภาคนี้เฉิดฉายเพราะ Joker ที่รับบทโดย Heath Ledger จริงๆ ทั้งน่ากลัว เฉียบคม ตลก และคาดเดาไม่ได้ บทของเรื่องนี้ก็ถือว่าปกติ แต่เพราะนักแสดงนี่แหละ ที่ทำให้เรื่องนี้มันสุดยอด!!!
“Batman Returns” (1992)
เราสามารถเห็นจินตนาการอย่างสุดขั้วของ Tim Burton ได้ในภาคนี้ มุมมองเกี่ยวกับเมือง Gotham ของเขา แถม Michelle Pfeiffer ที่รับบทเป็น Catwoman ก็แสดงออกมาได้ดีสุดๆ อีกด้วย
“The Empire Strikes Back” (1980)
เป็นภาคต่อที่ดีมากๆ จนเกิดฉากในตำนานอย่างฉากนี้ขึ้นมา เป็นหนึ่งในเรื่องที่หักมุมที่สุดในประวัติศาสตร์วงการภาพยนตร์เลยล่ะ!!!
“The Good, the Bad and the Ugly” (1966)
กลายเป็นว่าหนึ่งในหนังคาวบอยอเมริกันที่ดีที่สุด มาจากประเทศอิตาลีซะงั้น จากผลงานการกำกับของ Sergio Leone และได้ Clint Eastwood มาช่วยร่วมแสดง
“Goldfinger” (1964)
ผู้คนมักคิดเสมอว่าภาคต่อจะต้องออกมายิ่งใหญ่และล้ำมากกว่าเดิม แต่ Goldfinger ได้พิสูจน์ออกมาให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป ย้อนกลับไปสู่การปล้นธนาคารแบบคลาสสิกๆ อย่างที่ James Bond ควรจะเป็น ก่อนที่จะออกนอกโลก ทะยานสู่อวกาศอย่างทุกวันนี้
“The Hunger Games: Catching Fire” (2013)
หลายๆ คนพูดว่า Catching Fire นั้นเยิ่นเย้อและกินเวลานานจนเกินไป แต่ภายในภาคนี้กลับแสดงให้เห็นด้านมืดเกี่ยวกับสื่อและโลกอนาคตได้เป็นอย่างดี ดีกว่าหนังวัยรุ่นทั่วๆ ไปซะอีก
“Indiana Jones and the Last Crusade” (1989)
ตั้งแต่อดีตจวบจนกระทั่งปี 2008 ไม่มีหนังภาคต่อเรื่องไหนของซีรีย์นี้ทำออกมาได้ห่วยเลย แถมมีมุกตลกขำๆ ให้ได้ชมกันอยู่ตลอด และภาค The Last Crusade ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาคต่อที่ดีที่สุดของซีรีย์นี้
“Kill Bill: Vol. 2” (2004)
ที่จริงแล้วภาพยนตร์ชุดนี้มีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือภาคแรก แต่ Quentin Tarantino ตัดแบ่งมันเป็น 2 ภาค และแน่ล่ะ ได้กำไรอย่างงดงามจากการทำภาคต่อ ฉากแอคชั่นก็สะใจมากๆ
“The Lord of the Rings: The Two Towers” (2002)
โดยส่วนมากของหนังไตรภาค ภาค 2 นั้นจะดาร์กที่สุด และลอร์ดออฟเดอะริงส์ก็เช่นเดียวกัน ใหญ่กว่าภาค 1 หน่อย แต่ก็ไม่ใหญ่เท่าภาค 3 แต่เนื้อหาความดาร์กนี่มาเต็ม!!
“Spider-Man 2” (2004)
อาจจะไม่เหมือนกับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ภาคต่อเรื่องอื่นๆ เพราะภาคนี้ Peter Parker ต้องมาค้นหาตัวเองว่าเขาต้องการเป็น Spider-Man ไปเพื่ออะไร และถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีหนังซุปเปอร์ฮีโร่ออกมามากมาย แต่เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดอยู่ดี
“Terminator 2: Judgment Day” (1991)
คนเหล็กภาคแรกเป็นอะไรที่สุดยอดมาก แถมเป็นหนังที่มีต้นทุนต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ภาคต่อต้องยอมรับในส่วนของสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟ็กต์จริงๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เพิ่งออกฉาย และอาจจะเป็นเรื่องที่ Arnold Schwarzenegger แสดงได้ยอดเยี่ยมที่สุดอีกด้วยจากการพลิกบทตัวร้ายมาเป็นตัวดี
แต่ละเรื่องก็เรียกได้ว่าเคยผ่านหูผ่านตาเพื่อนๆ มากันเกือบหมดแล้วว่ามั้ย เพื่อนๆ คิดว่ายังไงกันบ้างกับลิสต์นี้?? คอมเม้นท์กันได้เลยนะ
ที่มา: BusinessInsider
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.