เวลาเราดูหนังที่ตัวละครหลักใช้เวลานานๆ ในการตามล่าคนร้ายหลายปีกว่าจะเจอ เช่น (Old Boy หรือหนังสืบสวนสอบสวนหลายๆ เรื่อง) เราอาจจะคิดว่ามันมีแค่ในหนัง แต่เรื่องที่ว่านั่นได้เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว!!
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ Dailymail ได้เปิดเผยเรื่องราวของคุณแม่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่สุดสตรองหลี กุ้ยอิง วัย 59 ปี ที่ถูกแก๊งเพื่อนบ้าน 5 คนรุมทำร้ายและฆ่าสามีของเธอไปเมื่อ 17 ปีก่อน เธอจึงสาบานกับตนเองว่าจะออกตามล่าแก๊งคนชั่วมาลงโทษให้จงได้
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1998 หลี กุ้ยอิงมีอาชีพเป็นครูอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในมณฑลเหอหนานร่วมกับสามีฉี หยวนเตอ ถูกเพื่อนบ้านฉี เซวซาน กล่าวหาว่าพวกเขาเป็นคนเอาเรื่องที่เซวซานมีลูกเกิน 1 คน ไปฟ้องทางการ (จีนมีนโยบายให้มีลูกแค่คนเดียว)
เซวซานเริ่มทำร้ายนางกุ้ยอิงด้วยก้อนอิฐก่อนที่จะเรียกพรรคพวกอีก 4 คนมาช่วยกระทืบสามีของเธอ ก่อนที่จะพยายามใช้ปังตอฟันนางกุ้ยอิงแต่เธอก็รอดมาได้และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ส่วนสามีของเธอกลับไม่ได้โชคดีแบบเธอ เขาถูกแทงด้วยมีดจนเสียชีวิต
จากนั้นผู้ก่อเหตุทั้ง 5 คนก็หนีไปอย่างลอยนวล ต่อมาเมื่อนางกุ้ยอิงออกจากโรงพยาบาล เธอก็ปฏิญาณตนว่าจะตามหาคนร้ายให้ได้และจะขอทวงคืนความยุติธรรมให้กับสามีของเธอ
เธอออกเดินทางไปยังมณฑลต่างๆ ทั่วประเทศจีนเพื่อตามหาเบาะแสของคนร้าย เธอพกรูปของคนร้ายติดตัวไว้ตลอดเวลา และคอยถามผู้คนในหมู่บ้านที่เธอไปว่าเคยเห็นหรือรู้จักคนในภาพบ้างหรือเปล่า?
และแล้วความยุติธรรมก็เริ่มเข้าข้างเธอ หลังจากที่เธอเริ่มออกค้นหามานาน เธอก็ตามจนเจอเซวซาน และคนที่ก่อเหตุอีก 1 คน ในปี 2011 ที่มณฑลซานซี กรุงปักกิ่ง พวกเขาถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 15 ปี
จากนั้นเธอก็ค่อยๆ แกะรอยคนที่ 3 และพบว่าเขาแอบหลบซ่อนตัวอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ เขาถูกตัดสินลงโทษสูงสุดคือประหารชีวิต แต่มีการขอยื่นอุธรณ์ในศษลชั้นถัดมา
และล่าสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา นางกุ้ยอิงก็พบตัวผู้ต้องสงสัย 2 คนสุดท้ายและส่งข้อมูลให้ตำรวจช่วยจัดการ พวกเขาถูกตั้งข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนาไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า
หลังจากที่เรื่องราวของสาวจีนสุดสตรองรายนี้ถูกแชร์ออกไป ก็ทำเอาชาวเน็ตในต่างประเทศหลายคนถึงกับชื่นชมและอึ้งกับเรื่องราวของเธอไปตามๆ กัน เช่น
“เรื่องของเธอน่าเอาไปทำหนังมาก”
“เธอเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งมาก”
“มันยากมากที่จะจินตนาการว่าเธอประสบกับอะไรมาเมื่อ 17 ปีที่แล้ว”
แม้จะฟังดูเหมือนเรื่องราวในภาพยนตร์ แต่นี่แหละคือชีวิตจริง
บางครั้งเราก็ต้องเป็นฝ่ายขับเคลื่อนความยุติธรรมด้วยตัวเอง
ที่มา dailymail
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.