เหมือนจะเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้วสำหรับคนที่รักสุขภาพที่จะเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายและแน่นอนว่าต้องปิดท้ายด้วยอาหารเสริมอย่าง “วิตามินอัดเม็ด”
เป็นเวลากว่าหลายทศวรรษที่นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับวิตามินเหล่านี้ว่าส่งผลอะไรกับร่างกายเราบ้าง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผลจากการศึกษาได้แสดงให้เห็นในด้านที่เราไม่รู้ นั่นก็คืออาหารเสริมจำพวกวิตามินแบบนี้อาจส่งผลเสียต่อร่างกายเราได้ ทั้งเสี่ยงต่อมะเร็งและตับแข็ง
และผลวิจัยล่าสุดก็แสดงให้เห็นว่าการวิจัยนี้ได้ศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้น เนื่องจากว่าพฤติกรรมการใช้วิตามินเสริมเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน และวันนี้ก็จะมาแนะนำว่าตัวไหนดีและควรหลีกเลี่ยง พร้อมกับอาหารที่ควรทานทดแทน
วิตามินรวม – ไม่ต้องทานก็ได้ เพราะคุณจะได้มันอยู่แล้วถ้าทานอาหารพอเหมาะ
กว่าหลายทศวรรษ มีการคาดเดาว่าวิตามินรวมจะส่งผลที่มากมายให้กับร่างกายของเรา วิตามินซีช่วยในระบบภูมิคุ้มกัน วิตามินเอช่วยในเรื่องการมองเห็น วิตามันบีช่วยทางด้านการเก็บพลังงาน
สิ่งเหล่านี้เราได้มากจากการทานอาหารทั่วไปอยู่แล้ว แต่งานวิจัยแนะนำว่าการทานวิตามินรวมเพิ่มอาจส่งผลเสียได้ อ้างอิงจากงานวิจัยปี 2011 กล่าวว่าตลอด 25 ปีที่ผ่านมา มีหญิงสูงวัย 39,000 คน มีความเสี่ยงถึงชีวิตเมื่อบริโภควิตามินรวมมากกว่าคนไม่ได้ทาน
วิตามินดี – ทานได้ เพราะจะทำให้กระดูกของคุณแข็งแรงและไม่ค่อยได้จากอาหาร
วิตามินดีนั่นไม่ได้หาได้ง่ายๆ ในอาหารที่เราทานเข้าไป แต่มันมีส่วนช่วยในการสร้างกระดูกให้แข็งแรงโดยการดูดซึมแคลเซียมนั่นเอง การได้รับแสงแดดในปริมาณที่พอดีมีส่วนช่วยในการสร้างวิตามินดี และได้มีผลการศึกษาว่าคนที่ได้รับวิตามินดีทุกวันจะมีอายุที่ยืนยาวกว่าคนทั่วไปด้วย
แอนติออกซิแดนท์ – ไม่ต้องทานก็ได้ เพราะถ้าทานเยอะไปอาจจะไปกระตุ้นความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด และสามารถทานผลไม้จำพวกเบอร์รี่แทนได้
วิตามิน เอ ซี และอี คือแอนติออกซิแดนท์ที่พบเจอในผลไม้มากมายหลายชนิดโดยเฉพาะตระกูลเบอร์รี่และผักต่างๆ ซึ่งมีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
แต่ก็ได้มีการศึกษาว่าการได้รับแอนติออกซิแดนท์มากเกินไปอาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ จากการศึกษาระยะยาวของชายที่สูบบุหรี่พบว่าการได้รับวิตามินเออาจจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอดมากกว่าคนที่ไม่ได้รับ
และยังมีผลการศึกษาจากปี 2007 ที่ศึกษาเกี่ยวกับแอนติออกซีแดนท์ต่างชนิด ว่าการได้รับเบตาแคโรทีน วิตามินเอ และวิตามินอี จะทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นด้วย
วิตามินซี – ไม่ต้องทานก็ได้ ไม่ได้ทำให้หายหวัดและสามารถทานผลไม้แทนได้
ใครๆ ก็ชอบวิตามินซี มีหลายความเชื่อว่าวิตามินซีจะช่วยอะไรต่างๆ ในร่างกายมากมาย โดยเฉพาะทำให้หายหวัด แต่ล่าสุดได้มีผลวิจัยออกมาแล้วว่าวิตามินซีแทบจะไม่มีผลต่อหวัดเลย
นอกจากนี้การทานเกิน 2,000 มิลลิกรัม ยังเสี่ยงต่อการเป็นตับแข็งอีกด้วย ดังนั้นควรเลือกทานจากอาหารดีกว่า เช่นสตรอเบอร์รี่ เป็นต้น
วิตามินบี 3 – ไม่ต้องทานก็ได้ แนะนำปลาแซลม่อน ทูน่า หรือหัวบีทแทน
เมื่อหลายปีที่ผ่านมี วิตามินบี 3 ขนามนามว่ามีส่วนช่วยเกี่ยวกับผู้ป่วยอัลไซเมอร์และโรคหัวใจได้ แต่งานวิจัยปัจจุบันกลับพบว่าวิตามินบี 3 ไม่ได้มีส่วนช่วยทางด้านโรคหัวใจเลย เมื่อทำการสำรวจคนที่ได้รับประมาณ 25,000 คน
นอกจากนี้ผู้ที่ศึกษายังพบว่ามีคนที่ได้วิตามินบี 3 มากเกินไป อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ปัญหาที่ตับ และเลือดออกภายในด้วย
โปรไบโอติก – ไม่ต้องทานก็ได้ วงการวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่ามันช่วยได้จริงรึเปล่า ทางที่ดีควรทานโยเกิร์ตไปก่อน
โปรไบโอติกคือแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งหลายคนยอมเสียเงินมากๆ เพื่อซื้อเป็นอาหารเสริม แต่แท้ที่จริงราคามันไม่กี่บาทเท่านั้น พบได้ในโยเกิร์ตและอาหารหมักดองต่างๆ
เป็นที่ทราบกันดีว่าแบคทีเรียพวกนี้ช่วยในการขับถ่าย ซึ่งบางครั้งก็ได้ผลบ้างหรือไม่ได้บ้าง แต่การซื้ออาหารเสริมจำพวกนี้มาทานมันก็มีผลพอๆ กับการกินโยเกิร์ต
สังกะสี – ทานได้ เพราะเป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่ช่วยเมื่อตอนเป็นไข้หวัด
สิ่งนี้จะไม่เหมือนกับวิตามินซี เมื่อมีคนวิจัยแล้วพบว่าสังกะสีนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับไรโนไวรัส อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเป็นไข้หวัดนั่นเอง
ในปี 2011 ได้มีการทดลองเมื่อคนเกิดอาการป่วย ให้กินสังกะสี และอีกกลุ่มหนึ่งกินยาแป้ง ผลได้ออกมาว่าคนที่กินสังกะสีหายหวัดเร็วกว่า
วิตามินอี – ไม่ต้องทานก็ได้ เพราะการบริโภคมากไปจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง และสามารถทานผักโขมแทนได้
วิตามันอีเป็นที่นิยมมากเพราะเชื่อว่าสามารถต้านโรคมะเร็งได้ แต่ผลวิจัยเมื่อปี 2011 พบว่าผู้ชายกว่า 36,000 คน เสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากเนื่องจากบริโภควิตามินอีเป็นอาหารเสริม ต่างจากคนที่ทานยาแป้ง
อีกทั้งมีผลการศึกษาจากปี 2005 ซึ่งเชื่อมโยงกับการบริโภควิตามินอีเกินขนาดอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นถ้าอยากได้วิตามินอี ไม่จำเป็นต้องทานยา แค่กินผักโขมหรือผักสีเขียวเข้มก็ได้แล้ว
กรดโฟลิก – ทานได้ถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์ หรืออยากจะตั้งครรภ์
กรดโฟลิกนี้มีส่วนช่วยให้ร่างกายผลิตเซลล์ใหม่ขึ้นมา ซึ่งทางสถาบันสุขภาพแห่งชาติได้แนะนำให้หญิงมีครรภ์หรือหญิงที่ต้องการจะมีลูกทานวันละ 400 ไมโครกรัม เพราะว่าร่างกายต้องการสิ่งนี้เพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโต
นอกจากนี้กรดโฟลิกยังช่วยให้ลดอัตราของการเจ็บป่วยของเด็กในครรภ์ได้อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ก็คือสาระดีๆ ที่นำเอามาฝาก เผื่อว่าใครกำลังจะตัดสินใจซื้อวิตามินมากินก็จะได้รู้ว่าควรซื้อชนิดไหนดี
ที่มา businessinsider
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.