ผู้เชี่ยวชาญเผยเทคนิค… ‘ตดอย่างไรให้เหม็นน้อยๆ’ ทีนี้จะได้ผายลม ให้สนุกลำไส้

‘ตด’ คำสั้นๆ แต่แฝงไปด้วยความหมาย และกลิ่นตลบอบอวลที่ชวนให้ขมคอ แค่นึกถึงก็รู้สึกว่ามีกลิ่นตุๆ มาแตะที่ปลายจมูกเบาๆ แล้ว

ถ้าอยู่ในที่สาธารณะคงไม่มีใครอยากจะดมกลิ่นลำไส้เน่าของคนอื่นหรอกจริงมั้ย? แต่มันคงจะดีถ้าเราตดได้แบบไร้เสียง ไร้กลิ่น เพราะเวลาจะแอบตดทีไร ก็กลั๊วกลัวว่าเสียงมันจะดัง “ฟี๊ดดดดด!!!” แถมมีกลิ่นตามมาอีก ถ้าโดนจับได้ละก็ซวยแน่ๆ

แต่รู้หรือไม่ว่าความเป็นจริงแล้ว คนที่ร่างกายสุขภาพแข็งแรงดี จะผายลมออกมามากถึง 10-20 ครั้งต่อวันเลยทีเดียว วันนี้ #เหมียวบ็อบ เลยพาเพื่อนๆ ไปหาสาเหตุกัน ว่าอะไรทำให้ตดเหม็น แล้วเราจะได้รู้กันว่าควรทำอย่างไร ให้ตดไม่เหม็น ฮ่าๆๆๆ

Dr. Myron Brand นักวิทยาทางเดินอาหาร ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ The Thrillist เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ตดเหม็นไว้ว่า

“การที่เรามีกลิ่นผายลมอันไม่พึงประสงค์ ไม่ใช่เรื่องแย่หรอกครับ มันแค่เป็นกลไกการทำงานระหว่างอาหารที่เรากินเข้าไป กับแบคทีเรียที่กำลังทำงานอยู่ในร่างกายของเรา

ถ้าใครที่ตดออกมาแล้วเหม็น ให้รู้ไว้เลยว่าคาร์โบไฮเดรตที่เราทานเข้าไปนั้น กำลังถูกย่อยสลายและดูดซับอยู่ในร่างกายของเรา เหมือนกับกระบวนการหมักดองที่อยู่ในท้องเรานั่นเอง”

แต่การทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ได้ความหมายว่าจะช่วยทำให้ตดเราเหม็นน้อยลงแต่อย่างใดนะจ๊ะ เพราะงานนี้ Cassandra Forsythe นักวิทย์ฯ ด้านโภชนาการออกมาบอกเองว่า

“ไม่ว่าจะเป็น แอปเปิ้ล ลูกแพร์ แตงโม ผักกาด หัวหอม กระเทียม เห็ด หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นอาหารสำหรับคนรักสุขภาพ เป็นสาเหตุหลักที่อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด หรือเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร”

ดังนั้นทางด้าน Dr.Brand เลยแนะนำว่าถ้าอยากจะกำจัดกลิ่นตดของตัวเองให้หายเหม็นละก็ ให้พยายามทานอาหารที่มีโปรตีนสูง และลดการทานคาร์โบไฮเดรตลง รับรองว่าคนใกล้ตัวอาจจะเอามือมาปิดจมูกกันน้อยลง

แต่อย่างไรก็ตาม #เหมียวบ็อบ ก็ไม่อยากให้เพื่อนๆเครียดกับเรื่องกลิ่นตดมากเกินไป เพราะยังไงซะก็ถือว่าเป็นพฤติกรรมทางธรรมชาติของมนุษย์เรานั่นแหละ

แต่ถ้าใครที่อยากจะกำจัดปัญหานี้ไปให้สิ้นซาก จะได้แอบตดในที่สาธารณะได้อย่างสบายใจมากขึ้นละก็ อาจจะลองปรึกษาคุณหมอ หรือลองควบคุมอาหารให้มีโปรตีนมากขึ้น คาร์โบไฮเดรตน้อยลง เป็นวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญเค้าแนะนำมาแหละเธอ

ใครที่ลองทำตามคำแนะนำด้านการกินแล้ว อย่าลืมแอบตดในที่สาธารณะเพื่อวัดผลแบบวิทยาศาสตร์ด้วยนะ แฮร่!!!

ที่มา: ViralNova