คำว่า ‘การล่าแม่มด’ กลายเป็นหนึ่งในคำฮิตของโลกออนไลน์เวลานี้ หลายคนรู้ว่ามันมาจากยุคกลาง แต่รู้หรือไม่ว่าเรื่องราวของมันนั้นมีที่มาอย่างไร….
วันนี้ #จ่าสิบเหมียว เลยอยากจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับที่มาของคำนี้กันซะหน่อย ในช่วงยุคกลาง ที่มนุษย์ยังคงมีความกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จัก สิ่งที่เรียกว่า ‘เวทมนตร์’ จนสังเวยชีวิตของผู้บริสุทธิ์ไปมากมายนับไม่ถ้วน!!
การล่าแม่มดในยุโรปสมัยยุคกลาง
ในสมัยยุคกลาง หรือที่เรียกกันว่า ยุคมืด นั้น ทั่วยุโรปตกอยู่ใต้การปกครองของศาสนจักร ซึ่งพระสันตปาปาจะไม่ยอมรับการออกจากศาสนาไม่ว่าจะด้วยกรณีใดก็ตาม
ในปี 1208 เมือง Albi ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสนั้นได้ริเริ่มนิกายใหม่ของคริสตศาสนาขึ้นด้วยตัวเอง ทำให้พระสันตปาปาทรงกริ้วมาก ร่วมมือกับกษัตริย์ของฝรั่งเศสกวาดล้างเมืองนี้จนสิ้น
ด้วยเหตุผลนี้ทางศาสนจักรเองนั้นก็ต้องรักษาอำนาจและความเชื่อของผู้คนเอาไว้ โดยหนึ่งในเครื่องมือที่พวกเขาใช้ก็คือเทรนด์ในการไล่ล่าและสังหารเหล่าหญิงสาวที่บรรดาบาทหลวงเชื่อว่าเป็น ‘แม่มด’
แม่มดในสมัยนั้นถือเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย และถ้ามีภัยพิบัติ การตายโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือโรคระบาดนั้น แม่มดก็จะถูกศานจักรกล่าวโทษก่อนเสมอ
และเมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ก็มีการระดมกำลังจากทั้งทางศาสนจักรเองและชาวบ้านในการออกตามล่า แต่ส่วนใหญ่นั้นจะกลายเป็นแพะรับบาปเสียมากกว่า
ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนนับหมื่นต้องเสียชีวิต และอีกนับล้านที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในความกลัวว่าจะถูกใส่ร้าย หรือกล่าวหาว่าเป็นแม่มดหรือเปล่า??
(ปล. ผู้ชายก็ไม่รอดนะจ๊ะ ถูกกล่าวหาว่าเป็น ‘พ่อมด’ ได้เช่นเดียวกัน!!)
เกณฑ์ในการวิเคราะห์ว่าเป็นแม่มด!?
เรื่องพลังเหนือธรรมชาตินั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องธรรมดาและผู้คนเชื่อถือกันในยุคกลาง และทางศาสนาคริสต์นั้นถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นล่ะก็จะถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกแสดงขึ้นโดยพระเจ้า
กระแสการต่อต้านนั้นเริ่มขึ้นเมื่อมีผู้วิเศษกลุ่มหนึ่งได้ทำการกล่าวหาว่าพระเยซูนั้น เป็นเพียงผู้วิเศษคนหนึ่งที่สามารถแสดงอภินิหารได้เท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาทางศาสนจักรก็ทำการต่อต้านเหล่าผู้วิเศษและพ่อมดแม่มดนับจากนั้น
หลักเกณฑ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ว่าหญิงสาวนั้นๆ เป็นแม่มดหรือไม่มีความเลื่อนลอยเป็นอย่างมาก เพราะใช้รูปลักษณ์ภายนอก ถ้ามีรูปร่างและหน้าตาที่อัปลักษณ์แล้วล่ะก็ มีโอกาสสูงเลยทีเดียวที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ผู้กระทำภัยพิบัตินั้นๆ ให้เกิดขึ้น
และส่วนใหญ่ทายสิหวยจะไปออกที่ใคร? ใช่แล้ว…เหล่าหญิงชรานั่นเอง ที่มักถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ถึงจะมีการสอบสวนแต่ก็เป็นการทรมานให้รับสารภาพเสียมากกว่าด้วยวิธีการทารุณนานับประการ
ไม่ใช่เฉพาะเหล่าหญิงชราผู้มีหน้าตาอัปลักษณ์เท่านั้น หญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามเป็นที่ต้องใจก็มักถูกกล่าวหาเช่นกัน ด้วยข้อหาที่ว่านำดวงวิญญาณไปขายให้ซาตานเพื่อแลกกับรูปร่างอันงดงาม (อาจจะเป็นข้ออ้างของชายหนุ่มที่พวกเธอไม่รับรักเสียมากกว่า)
แต่กระนั้น พวกเธอก็พบจุดจบที่เหมือนๆ กันนั่นก็คือการถูกเผาบนกองฟืนนั่นเอง…
แถมการล่าแม่มดในสมัยนั้นยังได้รับการรับรองจากศาสนาว่าเป็นสิ่งที่ชอบธรรมเสียด้วยเพราะเป็นการกระทำในนามของพระเจ้า!?
ในช่วงศตวรรษที่ 13 คริสตจักรโรมันคาทอลิกได้ตั้งศาลศาสนาขึ้น โดยมีเหตุผลเพื่อกระชับศรัทธาในเหล่าผู้นับถือและป้องกันไม่ให้คนที่นับถือแล้วเลิกนับถือ
แน่นอนว่าตลอดระยะเวลาช่วงนั้นก็คงมีคนคิดต่าง และไม่ได้นับถือในคริสตศาสนาอยู่บ้าง จนใน ค.ศ. 1484 มีการจัดทำหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘The Hammer of Witches’ ซึ่งเป็นคู่มือการล่าแม่มด ซึ่งภายหลังถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในหนังสือที่ชั่วร้ายและอันตรายที่สุดในโลก
หนังสือนี้ถือว่าเป็นเอกสารแสดงอำนาจชอบธรรมให้แก่บรรดานักล่าแม่มด อิงเอาทั้งนิทานพื้นบ้านต่างๆ และเหตุผลทางศาสนาเพื่อสร้างกฎหมายต่อต้านการใช้เวทมนตร์ขึ้นจนกลายเป็นอำนาจเด็ดขาดในการจัดการเรื่องนี้
นอกจากนี้แม่มดยังเป็นสัญลักษณ์ของสมุนและผู้บูชาซาตาน นอกจากภัยพิบัติต่างๆ แล้ว สิ่งที่พวกเธอทำก็คือการเบี่ยงเบนคนให้มีใจตีออกจากศาสนาเพื่อไปนับถือและบูชาซาตานแทน
ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นการจัดการผู้ที่คิด ‘ต่าง’ จากตัวเองรึเปล่า?
และที่สำคัญที่สุดในการสอบสวนนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องมีหลักฐานว่าผิด แค่คำ ‘สารภาพ’ ก็พอแล้วล่ะ
ในหนังสือ ‘Hexen und Hexenprozesse’ หนึ่งในหนังสือเกี่ยวกับการแม่มดได้ระบุว่า ‘การพิจารณาคดีต่างๆ นั้นมีจุดประสงค์ให้ผู้ถูกกล่าวหายอมรับสภาพ โดยการเกลี้ยกล่อม กดดัน หรือบีบบังคับก็ได้’
ทำให้การทรมานนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่และบาทหลวง นิยมใช้กันเสียมากกว่าเพื่อให้ได้รับคำสารภาพที่รวดเร็ว
สำหรับการทรมานนั้นก็จะมีวิธีโหดๆ ต่างๆ อย่างเช่นการจับถ่วงน้ำ ใช้เครื่องจักรดึงส่วนต่างๆ ของร่างกายจนเหยือ่รับสารภาพ และหลังจากสารภาพก็ต้องมีการซัดทอดผู้ร่วมเกี่ยวข้องให้มีเหยื่อเพิ่มขึ้น ก่อนจะไปจบด้วยการเผาทั้งเป็นต่อหน้าผู้คนในท้ายที่สุด…
พื้นที่ซึ่งมีการทรมานและการเผาแม่มดทั้งเป็นมากที่สุดในยุโรปก็คือประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน
เรื่องการล่าแม่มดนั้นดำเนินอยู่ในยุโรปยาวนานหลายร้อยปี มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้มากมาย ยิ่งมีการพัฒนาเครื่องมือทรมานและเครื่อมือประหารใหม่ๆ ขึ้นมาก็มีผู้เสียชีวิตเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
เชื่อกันว่ามีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ทั่วยุโรปไม่ต่ำกว่า 200,000 คนเลยทีเดียว กับคนที่เกี่ยวข้องทั้งบาดเจ็บเล็กน้อยจนถึงหนักมากอีกนับไม่ถ้วน
จนในช่วงศตวรรษที่ 17 ผู้คนเริ่มตาสว่าง มีความรู้ และมีเหตุผลกันมากขึ้น ทำให้ค่อยๆ เลิกการล่าแม่มดไปทีละน้อย เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกที่ประกาศยุติการล่าแม่มดใน ค.ศ. 1610
และก็มีประเทศในยุโรปค่อยๆ เอาแบบอย่างจนการล่าแม่มดค่อยๆ หายไปในที่สุด
และนั่นทำให้คำศัพท์ว่า ‘ล่าแม่มด’ ถูกนำมาใช้เรียกการกระทำต่างๆ ของคนในยุคหลังที่มีลักษณะคล้ายกัน แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไรเลย
ที่มา: jw, สมาชิกหมายเลข 2115733, Albitown, torturewiki
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.