อีกหนึ่งเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตที่น้อยคนนักที่จะรู้ กับเหล่าโจรสลัด พรานล่า ‘แมมมอธ’ จากดินแดนทางตอนเหนือของไซบีเรีย…
หลังจากที่การล่างาช้างถูกแบน พวกเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากการล่างาจากช้างตัวเป็นๆ ไปเป็นการค้นและขุดซากศพของเหล่าแมมมอธแทน และเหล่าผู้ซื้อก็เต็มใจที่จะซื้อเสียด้วย
งานนี้นั้นเต็มไปด้วยความอันตราย ทั้งจากสภาพแวดล้อม อาการป่วยไข้ และสภาพอากาศที่หนาวยะเยือก แต่รายได้น่ะงามสุดๆ จนสามารถล่อใจเหล่าพรานล่าแมมมอธได้!!
ธุรกิจนี้มีมาอย่างยาวนาน และตอนนี้ธุรกิจนี้ก็กำลังเฟื่องฟู
Chapple คือช่างภาพหนุ่มที่ไปทำงานในแถบนั้นพอดี และได้รับคำแนะนำจากคนในละแวกว่า ‘ลองไปหาเหล่าพรานล่าแมมมอธดูสิ’ เขาเลยลองทำตามดูสักครั้ง และพบว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างน่าประทับใจเลยทีเดียว
เหตุการณ์นี้ถ้าจะเทียบแล้วคงคล้ายๆ กับ Gold Rush ในประเทศสหรัฐอเมริกายุคก่อนๆ ที่เวลามีผู้ขุดค้นพบทองคำ บริเวณโดยรอบๆ นั้น ก็จะมีการจัดตั้งชุมชนขึ้น เพราะผู้คนที่หลั่งใหลจาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อแสวงโชค
แต่ครั้งนี้ มาในรูปแบบของซาก และโครงกระดูกของแมมมอธ
ด้วยเหตุผลทางธุรกิจ Chapple ก็ต้องทำสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยชื่อ หรือตำแหน่งของสถานที่ๆ เขาจะได้ไปเจอกับเหล่าคณะสำรวจ
เมื่อเขาได้รับให้ติดตามไป เขาเลยได้รับโอกาสอันหายากยิ่งในการร่วมแคมป์กับเหล่านายพรานนักล่าแมมมอธมือฉมังของบริษัทหนึ่ง
ช่วงสัปดาห์แรกนั้น เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายภาพแม้แต่ภาพเดียว แต่พอได้เริ่มทำความคุ้นเคยกับเหล่านักล่าและทีมงานซักพัก เขาจึงได้รับความไว้วางใจให้เริ่มเก็บภาพไว้ได้
ซากแมมมอธนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ขณะที่สภาพอากาศนั้นหนาวเย็นมาก และนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมซากของแมมมอธถึงยังอยู่ในสภาพที่ดีอยู่!!
สมัยก่อนใช้เพียงการขุดเท่านั้น แต่ตอนนี้มันได้กลายมาเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่แสนทันสมัยเข้ามาช่วยเพื่อย่นระยะเวลาการขุดด้วยมือ
สมัยก่อนพวกเขาจะใช้การสังเกต ว่ามีชิ้นส่วนไหนของแมมมอธโผล่ขึ้นมาบ้างหรือเปล่า ทั้งบริเวณเนินเขา หรือบริเวณแม่น้ำ
งานนี้สามารถทำได้เฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น เพราะฤดูหนาวสภาพอากาศจะหนาวเย็นเกินไปกว่าที่จะทำงานได้ ช่วงเวลานั้นของปีเหล่านักล่าก็มีงานอื่นทำกันแทน
อาจเรียกได้ว่าเป็น Seasonal Job หรือ งานที่มีเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งของปีเท่านั้น
‘ผมรู้สึกได้ถึงอันตรายจริงๆ ในงานนี้ หลุมที่ขุดลงไปนั้นลึกและชุ่มไปด้วยน้ำ ทุกๆ 10 นาทีจะเกิดการถล่มลงมา หลายๆ ครั้งผมไม่กล้าเข้าไปเก็บภาพเพราะกลัวอันตรายนี่แหละ
มีครั้งหนึ่งที่หลุมที่เราขุดไว้ตอนกลางคืนเกิดถล่มขึ้นมาในตอนเช้า และอีกครั้งที่หนึ่งในทีมงานต้องเสียขา และถูกส่งกลับไปโรงพยาบาล เพราะถ้ำที่ขุดไว้ถล่ม’ Chapple กล่าว
เหล่านายพรานจะเข้าไปสำรวจและขุดคืนในพื้นที่เหล่านี้เป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน และหลายคนก็มักจะพกสมาร์ทโฟนหรือไพ่ไปด้วยเพื่อเล่นฆ่าเวลา
แต่กิจกรรมที่ได้รับความนิยมที่สุดก็คือการ ‘ดื่ม’ เพื่อสังสรรค์จากการทำงานหนัก และแก้หนาวนี่แหละ
Chapple ช่างภาพของเราแอบเอาเบียร์เข้าไปด้วย 4 ลิตรด้วยกัน เพียงคืนแรก เหล่านายพรานก็ขโมยเบียร์ของเขาไปกินซะหมดเกลี้ยง…
สภาพบรรยากาศภายในแคมป์นั้นค่อนข้างที่จะตึงเครียดเช่นกัน
ช่างภาพของเราเล่าว่าเหล่าทีมงานนั้นมีความผูกพันกันราวกับเป็นเผ่าๆ หนึ่ง หรืออาจเกือบๆ ครอบครัวหนึ่ง พวกเขาไม่เชื่อในคนนอก การใช้ความรุนแรงและความดุร้ายนั้นเป็นสิ่งที่สามารถเห็นได้อย่างชินตาของที่นี่
‘ครั้งแรกที่ผมเข้าไปนั้น มีชายคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าของคณะนี้ เขาคว้าขอผมอย่างรุนแรงและตะโกนใส่หูของผมว่า ‘ข้าคือหัวหน้าของที่นี่ แกเข้าใจมั้ย!?’ หลังจากร่ำสุรากันไปพักใหญ่ๆ’ Chapple กล่าวต่อ
ทั้งเสี่ยงและลำบากขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องมีรางวัลยั่วใจที่มีมูลค่ามากจริงๆ จนทำให้พวกเขายอมทำสิ่งเหล่านี้
แค่ชิ้นส่วนของแมมมอธนั้น ราคาจะตกอยู่ที่กิโลกรัมละ 540 เหรียญ หรือราวๆ 19,000 บาท!!
และถ้าเป็นงาหรือชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ด้วยแล้วล่ะก็ ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
จากการสอบถามของ Chapple กับนายพรานหลายๆ คน ว่าพวกเขาจะเอาเงินไปใช้ทำอะไรนั้น บ้างก็ว่าจะนำไปส่งลูกเรียน ย้ายเข้าไปทำงานในเมือง หรือนำไปลงทุนทำธุรกิจเล็กๆ
แต่ด้วยความเครียดและความหนักของงาน เมื่อได้รับส่วนแบ่ง พวกเขาส่วนมากกลับนำเงินไปใช้ดื่มและเที่ยวเล่นเสียมากกว่า…
งานนี้ผิดกฎหมายรึเปล่า!?
แน่นอนว่า ‘ผิด’ เต็มๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้มาสอบถาม Chapple ทันทีหลังจากที่เขากลับมาและรู้ข่าวเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับตำแหน่งต่างๆ มากนัก และเขาก็ไม่ได้เข้าไปขุดเอง เป็นเพียงผู้ติดตามเท่านั้น
ทางหน่วยงานรัฐไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องชิ้นส่วนของแมมมอธมากเท่าไหร่นัก แต่การกระทำของเหล่าพรานล่าแมมมอธนั้น ทั้งขุด ทั้งการทำโคลนถล่ม ทำให้แหล่งน้ำที่ไหลไปสู่ตัวเมืองนั้นเต็มไปด้วยดินและโคลนเสียมากกว่า
‘ฉันรู้แต่จะให้ฉันทำอย่างไรล่ะ งานก็ไม่มี แถมมีลูกหลายคนอีก’ หนึ่งในพรานล่าแมมมอธกล่าวกับ Chapple
90 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนงาทั้งหมดนั้น ถูกส่งไปขายในประเทศจีนและฮ่องกง ที่ซึ่งเหล่าผู้ซื้อเต็มใจที่จะให้ราคางามๆ กับเหล่านายพราน
หลังจากระยะเวลา 3 สัปดาห์เต็ม Chapple ก็ต้องบอกลากลุ่มคณะสำรวจ ในตอนนั้นพวกเขาก็เตรียมเก็บข้าวของเพื่อกลับบ้านแล้ว หลายๆ คนก็คงจะได้รับเงินและส่วนแบ่งที่น่าพอใจ แต่ส่วนมากก็จะใช้สุรุ่ยสุร่ายจนหมดในปีนี้…
แต่ก็นั่นแหละ ‘หน้าร้อนหน้าก็ยังมีล่ะเนาะ’ (คำพูดติดปากของเหล่าพรานล่าแมมมอธ)
ที่มา: Dailymail
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.