ครั้งหนึ่งของการได้เกิดมาบนโลกนี้ เราก็คงอยากใช้ชีวิตให้คุ้มค่า แล้วความคุ้มค่าของเพื่อนๆ คืออะไรกันบ้าง? บางคนอาจบอกว่า ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่บางคนคือการได้ทำในสิ่งที่คนอื่นชอบมากกว่า
Peter Ter ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จริงๆ แล้วเขาอายุเท่าไร แต่เขาไม่ได้ใส่ใจที่จะหาคำตอบในเรื่องนี้ เพราะมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่เรื่องที่เขาสนใจคือ การทำตัวให้เป็นประโยชน์เพื่อสังคมมากกว่า
Peter เกิดในครอบครัวเกษตรกรเลี้ยงวัวในซูดาน เขาเติบโตมากับสงครามกลางเมืองที่ยาวนานที่สุด เมื่อเขาโตขึ้นเป็นหนุ่มก็ถูกพรากจากพ่อแม่ และถูกส่งตัวไปอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศเคนยา
ผู้แทนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้พบกับ Peter ในค่ายผู้ลี้ภัยในปี 2001 พวกเขาจึงได้คาดเดาอายุของชายหนุ่มจากความสูงของเขา และคาดว่าเขาน่าจะเกิดในปี 1980 นั่นเท่ากับว่า Peter อายุ 36 ปี
ตอนเป็นเด็ก Peter มีความมุ่งมั่นสูงมาก เขาพยายามเรียนรู้ที่จะอ่านและเขียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง…
เขาเล่าให้ฟังว่า “ผมเกิดมาในที่ที่ไม่ดินสอหรือปากกาเลย แต่ผมต้องการที่จะเป็นใครสักคนที่มีตัวตนมากกว่านี้ และผมรู้ว่าภาษาอังกฤษจะช่วยให้ผมเป็นเช่นนั้นได้ ผมไม่อยากเป็นเหมือนในอดีตอีกแล้ว”
ในค่ายลี้ภัยที่เขาอยู่นั้น มีบริเวณกว้างใหญ่ มีผู้คนมากมาย สิ่งที่จำเป็นที่สุดคืออาหารการกิน ดังนั้นการที่จะมีอุปกรณ์การเรียนที่จะช่วยให้เขาฝึกฝนภาษาอังกฤษนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่เขาก็ยังไม่ยอม เขาได้ฝึกเขียนบนพื้นทรายแทนกระดาษ วันแล้ววันเล่า จากคำก็พัฒนาขึ้นเป็นประโยค ที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
“วันหนึ่ง มีผู้ใหญ่เข้ามาเยี่ยมเราในค่าย และเฝ้าดูผมเขียนบนทราย เขาพูดกับผมว่า ‘แดดแรงมาก และเธอก็ทำงานหนัก แต่วันหนึ่งข้างหน้า เธอจะกลายเป็นเหมือนลูกบอลที่อยู่ในมือเธอ’“
Peter จำได้ว่า ในวันนั้น ผู้ใหญ่ที่คุยเขาได้มอบปากกาหมึกน้ำเงินให้ด้วย นั่นเป็นปากกาด้ามแรกในชีวิตของเขา ชายหนุ่มจึงไปหาเศษกระดาษมาจากถังขยะ และเริ่มฝึกเขียนด้วยปากกาจนกระทั่งหมึกหมด
เมื่อปากกาหมึกหมด เขาก็หันไปเผาถ่าน เพื่อใช้แทนปากกา และเขายังคงฝึกเรียนฝึกอ่านต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่ย่อท้อ
ต่อมาในปี 2001 Peter ได้อพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้เขามีโอกาสได้เรียนหนังสือและได้สานต่อความรู้ที่เขาฝึกฝนมา จนได้รับปริญญารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐฟลอริดา (Florida State University)
หลังจบการศึกษาแล้ว เขาก็ตัดสินใจเข้าร่วมกรมนาวิกโยธินของสหรัฐฯ จนกระทั่งเขาได้รับคำปรึกษาและคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่อง สันติภาพ
ดังนั้นตั้งแต่ปี 2009 Peter จึงได้เข้าร่วมกับองค์สันติภาพกว่า 5 ปีแล้ว โดยจะคอยให้การช่วยเหลือ 3 ประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันมากนั่นคือ อาเซอร์ไบจาน จีน และประเทศจอร์เจีย
เขาบอกว่า “ทั้ง 3 ประเทศที่ผมได้เข้าเป็นอาสาสมัครนี้ ผมได้รับความรัก การให้คุณค่า และคำชื่นชมเสมอ”…”ผมได้เรียนรู้ว่า เราคนเราสามารถเอาชนะความกลัวได้ กลายเป็นคนที่ยืดหยุดและห่วงใยคนอื่น ก็จะทำให้เราเป็นตัวแทนของคนเมริกันมากมายในต่างแดน”
แม้ชีวิตวัยเด็กของ Peter จะเต็มไปด้วยเรื่องน่าเศร้า ความวิตกกังวล และการบาดเจ็บจากสงครามหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ทำให้ตัวเองเข้มแข็งและร่าเริงอยู่เสมอ
เมื่อได้เข้าไปช่วยเหลือผู้คนในปรเทศต่างๆ เขามักจะเล่าเรื่องราวในวัยเด็กในทุกคนฟัง ไม่ใช่เพื่อให้สงสาร แต่เพื่อเป็นแรงบันดาลให้พวกเขา
บางคนท้อ หมดหวังในชีวิต แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวของ Peter พวกเขากลับรู้สึกโชคดีมาก เพราะอย่าน้อยก็ไม่เคยผ่านเรื่องราวเลวร้ายเท่าชายหนุ่มคนนี้
และไม่ว่าจะไปที่ไหน ความรัก ความสามัคคีจะเกิดขึ้นที่นั่น เขาได้สอนให้ผู้คนรักกัน เพราะหากคนในสังคมเกิดความแตกแยก อาจจะเจอกับสิ่งที่เขาเคยเจอมาแล้วก็ได้
เด็กๆ หลายคนไม่ชอบเรียนหนังสือ โดดเรียนบ้าง ไม่มาเรียนบ้าง แต่ชีวิตของ Peter ได้สอนให้เด็กๆ เห็นคุณค่าของการเรียน จนทุกคนหันมาให้ความสนใจกับการเรียนมากขึ้น
เพราะเขามีประธานาธิบดีสหรัฐฯ Abraham Lincoln และ John F. Kennedy เป็นบุคคลในดวงใจ ทำให้เขากลายเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก แม้ต้องเจอเรื่องร้ายๆ ก็ตาม
“ตอนที่ผมถูกแยกออกจากพ่อแม่ ผมรู้สึกโกรธมาก แต่ถ้าผมมัวแต่ไปโฟกัสอยู่กับเรื่องนี้ มันก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ซึ่ง Lincoln ก็คงคิดแบบนั้นเช่นกัน”
“ส่วนประธานาธิบดี Kennedy เป็นแรงบันดาลให้ผมในอีกมุมมองหนึ่งคือ การช่วยเหลือสังคม เขาเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย และเขากลายเป็นประธานาธิบดี ผู้ก่อตั้งองค์กรสันติภาพ ผมคิดว่า ถ้าเขาได้รู้ว่าผมทำงานเพื่อสังคม เขาคงจะชื่นชมในตัวผม เหมือนกับผมนับถือเขาเช่นกัน”
Peter ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับช่วยเหลือสังคมร่วมกับองค์กรสันติภาพ เสร็จสิ้นในเดือนกันยายน และเขามีแผนที่กลับไปเรียนต่อในระดับปริญญาโท โดยจะเรียนด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงแห่งชาติ ที่มหาวิทยาลัยอเมริกัน(American University)
หลังจากนี้ก็คงจะได้เข้าสู่โลกที่แท้จริงตามที่เขาได้ตั้งใจไว้ งานของเขาอาจจะเกี่ยวกับข้องกับการช่วยเหลือสังคม การส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน หรืออาจจะทำงานร่วมกับทหาร
โดยจะใช้ความรู้เรื่องนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ ส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน และทำให้ผุ้คนมีมิตรภาพที่ดีต่อกัน
แต่ไม่ว่าจะได้ทำอาชีพไหน ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะว่าเขาอุิทิศชีวิตตัวเองเพื่อการเรียนรู้มาตลอด และส่วนหนึ่งคือ เพราะเขาเคยมีประสบการณ์ในเรื่องสันติภาพ เขาจึงอยากสานต่อในสิ่งที่ตัวเองรักต่อไป
“อเมริกาทำให้ผมมีศักดิ์ศรี ทำให้ผมได้รับการศึกษา และทำให้ได้มีตัวตนในสังคม ผมจึงอยากทำทุกอย่างเพื่อขอบคุณประเทศนี้”
“เช่นเดียวกับคำพูดของ Kennedy ที่ว่า ‘อย่าถามว่าประเทศทำอะไรเพื่อคุณ แต่ให้ถามตัวเองว่า คุณอะไรเพื่อประเทศบ้าง’ สำหรับผมแล้ว คำตอบคือ การช่วยเหลือสังคม”
จากเด็กชายที่ไม่มีอะไรเลย แต่วันนี้ได้กลายเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ของสังคม
ที่มา upworthy
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.