ด้วยความคิดถึง… เจ้าห่านเฝ้ามองภาพสะท้อนตัวเองทุกวัน หลังเพื่อนห่านของมันตายจากไป

วันธรรมดาที่แสนจะน่าเบื่อ อาจกลายเป็นวันที่แสนจะเงียบเหงา และเดียวดายได้ ถ้าหากคุณได้เสียเพื่อนสนิท หรือคนที่เราไว้ใจมากที่สุดไป…

เหมือนกันกับเจ้าห่านตัวนี้ หลังจากที่เพื่อนรักของมันทั้ง 2 ชีวิต ได้ลาจากโลกนี้ไปตามอายุขัยของมัน สุดท้ายแล้วเหลือเพียงห่านน้อยตัวเดียว ผู้เหงาหงอย และเฝ้ามองภาพสะท้อนทุกวัน เพราะคิดถึงอดีตเพื่อนรักที่เคยร่วมทุกข์ ร่วมสุขมาด้วยกัน

แรกเริ่มเดิมทีพวกมันเป็นแก๊งค์ห่าน 3 ช่า ผู้เป็นสีสันให้กับสวนสาธารณะมานานถึง 15 ปี แห่งหนึ่งในเมือง West Sussex ประเทศอังกฤษ

แต่การจากลาย่อมเป็นสัจธรรมของทุกชีวิต เมื่ออายุขัยของพวกมันมากตาม ห่านเพื่อนซี้อีก 2 ชีวิตได้ลาจากโลกนี้ไปอย่างสงบ จึงทำให้มันกลายเป็นห่านที่เหงาที่สุดในโลก

ในแต่ละวัน มันมักจะมายืนมองหน้าตัวเองผ่านภาพเงาบนรถในละแวกนั้น อาจเพื่อให้นึกถึง 2 เพื่อนรักที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับมา

Mr. Luscombe หนึ่งในชาวบ้านละแวกนั้นได้ให้สัมภาษณ์ว่า “เมื่อก่อนพวกมันมีกันอยู่ 3 ตัว ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด 15 ปี เราไม่รู้ว่าข้างในหัวใจมันรู้สึกเศร้า หรือคิดถึงเพื่อน แต่ทุกวันมันจะยืนจ้องมองตัวเองผ่านภาพเงาบนรถที่มาจอดแถวนั้น และผมสังเกตุเห็นว่ามันก็เพิ่งจะมาเป็นตอนที่มันต้องอยู่ตัวคนเดียวเนี่ยแหละครับ”

ซึ่งทุกวันตอนเช้าเวลา 7 โมง จะมีเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสวนสาธารณะนำอาหารมาให้มันเป็นประจำ และหลังจากที่มันกินจนอิ่มแล้ว มันก็มักจะมายืนจ้องภาพสะท้อนของตัวเองอยู่อย่างนี้ทั้งวัน

และทุกๆ 4 โมงเย็น เจ้าหน้าที่จะพามันกลับไปอาศัยอยู่ในกระท่อมน้อย เพื่อป้องกันอันตรายจากหมาป่า หรือคนที่คิดอยากจะเอามันไปทำเป็นอาหารเย็น

ดูแววตาของมันสิ แอบสะท้อนความเศร้าลึกๆในใจได้เหมือนกันนะ

“พวกเราทุกคนในละแวกชุมชนนี้อยากจะเห็นมันมีความสุข ถ้ามีใครที่อยากจะรับมันไปเลี้ยงให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเพื่อนๆ และไม่ทำให้มันรู้สึกเหงา เราก็ยินดี แต่ต้องมั่นใจว่าจะไม่เอามันไปทำเป็นอาหารมื้อเย็นโดยเด็ดขาด!!” เจ้าหน้าที่ประจำสวนสาธารณะให้สัมภาษณ์

ทั้งนี้ทางด้านผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสัตว์ทางการเกษตร Phoebe Vaughan ก็ได้ออกมาให้ความเห็นเหมือนกันว่า โดยธรรมชาติแล้วห่านเป็นสัตว์สังคม และการที่มันเฝ้ามองภาพสะท้อน อาจจะเป็นไปเพื่อไม่ต้องการให้ตัวเองรู้สึกเหงา แน่นอนว่ามีผลโดยตรงมาจากการที่เพื่อนซี้ทั้ง 2 ชีวิตของมันได้จากโลกนี้ไป

ที่มา: Dailymail