หลายๆ คนสงสัยว่า Rogue One: A Star Wars Story คือภาคต่อหรือว่าเป็นภาคต้นกันแน่ #เหมียวฟิ้นจะเกริ่นง่ายๆ ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน Star Wars: Episode IV – A New Hope (1977) เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
ถ้าคุณอยากดูหนังเรื่องนี้แบบเต็มอารมณ์ล่ะก็ ควรจะมีพื้นฐานมาจากภาค A New Hope มาสักหน่อยนะ และหากอยากรู้ว่าทำไมนักวิจารณ์หลายๆ แห่งถึงยกให้มันเป็นหนึ่งในหนัง Star Wars ภาคที่สนุกที่สุดแม้จะไม่ได้เกี่ยวกับตัวละครหลักเลยก็ตาม เดี๋ยว#เหมียวฟิ้นจะมาเล่าแบบไม่สปอยล์ให้อ่านกัน
อย่างแรกที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้เลยก็คือมันจะไม่มีฉากต่อสู้กับด้วยไลท์เซเบอร์อย่างแน่นอน และจะไม่มีเจไดให้คุณเห็นด้วย ฉะนั้นอย่าคาดหวังว่าจะได้เห็นฉากดวลไลท์เซเบอร์หรือฉากใช้ฟอร์ซต่อสู้กันนะ (แต่ในหนังจะมีอะไรมาทดแทนอย่างแน่นอน)
ตัวหนังดำเนินเรื่องได้แตกต่างจากที่ผ่านๆ ไล่ตั้งแต่การเปิดเรื่อง ถ้าคุณเคยดู Star Wars มาก่อนคุณจะรู้ว่าหนังจะเปิดเรื่องยังไง แต่เรื่องนี้จะฉีกออกไปทำให้เรารู้ว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงใช้ชื่อว่า Rogue One แทนที่จะเป็น Star Wars (ก็เพราะมันไม่ใช่ Star Wars จริงๆ ยังไงล่ะ)
หนังไม่ได้เน้นที่กลุ่มตัวละครเอกหรือตัวละครที่มีความสำคัญอะไรต่อจักรวาลมากมาย แต่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่มันไม่เท่ ไม่โดดเด่นอะไร ทำภารกิจที่แทบจะไม่มีใครรู้เลยว่าพวกเขามีตัวตนหรือเปล่า แต่ก็เป็นอีกหน้าฉากหนึ่งของสงครามที่เราอยากให้แฟน Star Wars ดูกัน
มันมีส่วนผสมของหนังลิเกอวกาศแบบที่เราคุ้นเคย ผสมกับรสชาติแปลกใหม่อย่างหนังสงครามจัดๆ และหนังสายลับที่หนัง Star Wars ทั้ง 7 ภาคไม่มี เพราะที่ผ่านๆ มาจะเป็นหนังสงครามในสเกลเล็กๆ และการดวลดาบไลท์เซเบอร์ จึงทำให้#เหมียวฟิ้นรู้สึกว่านี่คือหนังที่แตกต่างจากขนบเดิมๆ
นอกจากความต่างและความสดใหม่ที่ Rogue One ใส่เข้ามาแล้ว แต่ผู้กำกับอย่าง Gareth Edwards (ที่เคยกำกับ Godzilla) ก็ไม่ลืมที่จะใส่ “บางสิ่ง” ที่แฟนๆ ยุคเก่าชื่นชอบลงมาด้วย
เช่นตัวละคร Darth Vader (เชื่อเถอะว่าในหนังมีเยอะกว่านี้แน่ๆ) หุ่นยนต์ตัวใหม่ที่มีกลิ่นอายแบบ C3-PO ยานอวกาศแบบเก่าๆ (แม้หนังเรื่องนี้จะสร้างหลังสุด แต่ตัวยานต่างๆ จะมีลักษณะคล้ายโมเดลเก่าๆ อยู่ คิดว่าผู้กำกับจงใจให้มันมีความต่อเนื่องกับ A New Hope)
สิ่งที่ชอบอีกอย่างหนึ่งในหนังเรื่องนี้คือมันดำเนินเรื่องด้วยกลุ่มตัวละครที่ไม่ได้มี “ความเทพ” หรือความเก่งกาจอะไร ทำให้ตลอดเวลาที่เราดูหนังเรื่องนี้จึงลุ้นตลอดว่าพวกเขาจะสามารถทำภารกิจได้ลุล่วงหรือไม่ หรือว่าง่ายๆ คือ…มันจะรอดหรือเปล่า และด้วยความคิดแบบนี้มันก็เลยทำให้ช่วงองค์ที่ 3 ของหนังดูสนุกและลุ้นมากๆ
แต่ส่วนที่เป็นข้อเสียก็มีอยู่เหมือนกัน คือความสมเหตุสมผลของตัวละคร หรือความ “ลึก” ของตัวละครที่บางครั้ง ตัวละครดูเหมือนจะแบนๆ ไป บางตัวขาดแรงจูงใจให้เข้าร่วมสงครามหรือเสียสละเพื่อบางสิ่ง แต่มันก็พอจะกลบเกลื่อนไปได้บ้างด้วยมุกตลกและฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ
และอย่างที่บอกไปว่านี่คือหนังที่มีส่วนผสมของหนังสงสงครามจัดๆ อธิบายง่ายๆ ก็คือคุณจะไม่ค่อยได้เห็นตัวละครไหนออกไปโชว์พลังเดี่ยวๆ ทุกครั้งจะมีใครคอยซัพพอร์ตเสมอ หรือมีการวางแผนการรบที่สมจริง
ในหนังมีทั้งฉากสู้ภาคพื้นดิน สู้ด้วยยานอวกาศ และการต่อสู้แบบตัวต่อตัว #เหมียวฟิ้นรู้สึกว่าเขาแบ่งแต่ละพาร์ทได้ค่อนข้างลงตัว เมื่อตัดสลับไปในฉากการรบอีกที่หนึ่งก็รู้สึกว้าวและตื่นเต้นตลอดเวลา
สุดท้ายอย่างที่#เหมียวย้ำไปว่าเหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนภาค A New Hope เพียงไม่กี่นาที หากคุณจำเรื่องราวได้ จะทำให้คุณกรี๊ดมากๆ ในตอนจบ ยังไงขอเชียร์ Rogue One แบบสุดใจขาดดิ้นเลย!!
“ทุกคนล้วนอยากเป็นฮีโร่ แต่ใช่ว่าใครจะเป็นก็ได้”
May The Force Be With Us
เรียบเรียงโดย เหมียวฟิ้น
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.