ในปี 2016 นี้ก็ถือว่าเป็นอีกปีหนึ่งที่มีเกมดีๆ ออกมาให้เราได้เล่นอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกมฟอร์มยักษ์อย่าง Dark Souls 3, Overwatch หรือกระทั่ง Civilization VI ที่กวาดคะแนนวิจารณ์ไปอย่างท่วมท้น
นอกจากเกมยักษ์ใหญ่แล้ว เกมค่ายเล็กๆ ก็ทำผลงานโดดเด่นไม่แพ้กัน อย่าง Inside ที่หลายๆ คนยกย่อง หรือจะเป็น Stardew Valley ที่สร้างชื่อเสียงอันโด่งดังจนกลายเป็นเทรนด์หลัก
นี่ต้องไม่ลืมไปถึงเกมมือถือเปลี่ยนโลกอย่าง Pokemon GO ซึ่งต้องยอมรับว่ากระแสของมันนั้นดังระเบิด จนถึงขั้นกลายเป็นข่าวดัง ต้องมีมาตรการต่างๆ ตามออกมาในหลายประเทศ
และเป็นประจำในช่วงปลายปี ที่สำนักจัดอันดับต่างๆ จะทยอยมอบรางวัลสุดยอดเกมแห่งปีให้กับเกมที่พวกเขามองว่ามีความโดดเด่นมากที่สุด แน่นอนว่า CatDumb ก็ไม่พลาดจะร่วมจัดอันดับเช่นกัน
เราลองมาดูความคิดเห็นของชาวเหมียวแต่ละคนกันก่อน…
เหมียวฟิ้น – Overwatch
สำหรับเราในปีนี้ขอยกให้กับ Overwatch ก็แล้วกัน เพราะโดยส่วนตัวเราเป็นคนที่ยิงไม่แม่นแล้วก็เวียนหัวกับมุมมองเกมแบบบุคคลที่ 1 เอามากๆ แต่กับเกมนี้เราไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย ไม่มีอาการเวียนหัว แถมการยิงไม่แม่นของเราก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเกมนี้ด้วย
เพราะมันมีรูปแบบการต่อสู้ที่หลากหลายไม่จำเป็นจะต้องยิงแม่นอย่างเดียว เช่นบางตัวปาระเบิดได้ บางตัวสามารถใช้กระแสไฟฟ้าช็อตตัวละครอื่นได้ บางตัวก็ไม่จำเป็นต้องยิงอีกฝ่ายแต่เป็นการคอยสนับสนุนทเพื่อนๆ ของเราจากระยะห่างๆ ซึ่งก็ทำให้เราไม่ต้องไปต่อสู้กับอีกฝ่ายโดยตรง
นอกจากรูปแบบการเล่นที่หลากหลายแล้ว ในแต่ละตัวละครยังมีอัลติเมท (ท่าไม้ตาย) ที่เอาไว้พลิกเกมได้ด้วย จากที่บางทีทีมเราเข้าตาจนมากๆ การปล่อยอัลติเมทของเพื่อนในทีมหรือของคุณ ก็อาจจะพลิกทำให้ฝ่ายของคุณกลับมาชนะเอาได้ง่ายๆ
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม#เหมียวฟิ้นจึงขอยกให้ Overwatch กลายเป็นเกมแห่งปี…เพราะมันสนุกจนเราต้องแอบเล่นระหว่างเวลางานยังไงล่ะ…
หากใครไม่เคยเล่น งั้นลองไปชมตัวอย่างกันเลย
เหมียวสามสี – Battlefield 1 สงครามคลาสสิกที่แสนจะอลังการ!!
ถ้าพูดถึงเกมแนวสงครามโลกแล้ว ซีรีส์ Battlefield ถือเป็นอีกเกมที่หลายคนคิดถึง และการกลับมาครั้งนี้ของ Battlefield 1 ถือเป็นอะไรที่อลังการงานสร้างและควรคา่แก่การเล่นเป็นอย่างยิ่ง
ใครจะไปนึกล่ะว่าเกมสงครามที่ทำฉากย้อนไปในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ไร้ซึ่งเทคโนโลยีการทหาร จะสามารถทำให้เกมออกมาสนุกได้ขนาดนี้
ส่วนแรกที่ขอพูดถึงก่อนเลยคือระบบเนื้อเรื่อง ซึ่งครั้งนี้หั่นออกมาเป็น 5 เรื่องที่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละเรื่องก็ทำออกมาได้ดีพอสมควร ไม่เหมือน Battlefield ภาคอื่นๆ ที่ทำเนื้อเรื่องออกมาผ่านๆ ให้คนเล่นรู้ว่ามี จุดนี้ต้องขอชมเลยว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ถึงแม้จะมีภารกิจบางอย่างที่ซ้ำเดิมไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ทำให้เห็นถึงการพัฒนา
ในส่วนของมัลติเพลเยอร์ ซึ่งเป็นระบบที่ Battlefield ทำออกมาได้ดีทุกภาค กลับมาในภาคนี้ผู้คนต่างคาดหวังมากว่าจะทำออกมาดี และก็ไม่ผิดหวังเลย เพราะก่อนที่เกมจะออกมานั้น เรานึกไม่ออกจริงๆ ว่าอาวุธสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 จะสู้ยังไงให้สนุก
ใน Battlefield 1 นี้ แต่ละอาชีพแยกหน้าที่ได้อย่างชัดเจน ไม่มีการใช้ปืนข้ามหน่วยจนทำให้สมดุลเสีย อีกทั้งยังมีหลายโหมดให้เลือกเล่น ถ้าคุณชอบฆ่าคนก็เชิญเลยที่ Deathmatch หรือจะชอบแบบวางแผนบุก ก็ต้องยกให้โหมด Operation ที่ทำออกมาได้ดี สนุก และแปลกใหม่เป็นอย่างมาก
สาเหตุที่เลือก Battlefield 1 มานั้นก็เพราะว่าเกมมันมีความสมดุล บรรยากาศสงครามก็ทำออกมาได้ดีมากๆ เวลามีอะไรระเบิดมันก็อลังการงานสร้าง บอกตรงๆ ว่าตอนแรกเห็นคนอื่นเล่นแล้วรู้สึกเฉยๆ นะ แต่พอได้เล่นเองแล้วเป็นอะไรที่ประทับใจจริงๆ อยากให้ทุกคนได้ลอง
แต่ถ้าคำพูดที่พูดไปก่อนหน้านี้ยังไม่ปลุกระดมพอ อยากให้ฟังการรีวิวนี้เพิ่มเติม เพื่อความอยากเล่นเกมมากยิ่งขึ้น
เหมียวเลเซอร์ – Killing Floor 2 ฆ่าผียังไงให้มีสไตล์
หนึ่งในเกมยิงสานต่อจากความสำเร็จในภาคแรกนำมาสู่ Killing Floor 2 (ฆ่าพื้น 2 หรือเอาชื่อไทยเท่ๆ ก็ลานประหารภาค 2) ได้รับการอัพเกรดภาพดีขึ้นเป็นอย่างมาก แถมด้วยระบบ หัวแตก ตัวขาด ไส้ไหล สะใจยิ่งกว่าเดิม
ปล. ภาพประกอบเป็นภาพในเกมที่ #เหมียวเลเซอร์ ได้ไปผจญภัยมาแล้วเรียบร้อย
สำหรับเกมนี้ #เหมียวเลเซอร์ เล่นมาตั้งแต่ภาคแรก ปาไป 100+ ชั่วโมง เป็นเกมแนว Co-op ระหว่างผู้เล่นทั้ง 6 คน คล้ายๆ กับ L4D ที่จะต้องต่อสู้กับเหล่ายอดมนุษย์ร่างโคลนที่มีลักษณะคล้ายๆ จะเป็นซอมบี้ (Zeds) เป็นระลอกๆ จนจบ
สำหรับเนื้อเรื่องก็แทบจะไม่มีอะไรมาก พวกตัวประหลาดทั้งหลายเกิดจากความผิดพลาดทางการทดลองของนักวิทยาศาสตร์สติฟั่นเฟือง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ผลิตลูกหลานเพียบ จนควบคุมสถานการณ์ไม่ได้
เพราะฉะนั้นแล้วเหล่าผู้เล่นที่ต้องสวมบทบาทเป็นตัวละครในเกม จะต้องมาปราบพวกมันให้สิ้น โดยจะได้รับเงินจากการฆ่าพวกมันเป็นการตอบแทนมาซื้ออาวุธเพื่อ ฆ่า ฆ่า แล้วก็ ฆ่า
เกมนี้อาจจะไม่เหมาะกับทุกคน เพราะด้วยความที่เป็นเกมแนวมุมมองบุคคลที่ 1 ระบบการเล่นที่ผิวเผินเหมือนจะเป็นเกมยิงทั่วไป แต่มีความลึกในระดับหนึ่ง ผู้เล่นจะต้องเลือกสายในการเล่น (Perk) และอัพเลเวลไปเรื่อยๆ ปลดล็อคทักษะย่อยทุกๆ 5 เลเวล จนถึงเลเวล 25 เพื่อไปต่อสู้ในระดับที่ยากมากๆ ได้
สิ่งหนึ่งที่ #เหมียวเลเซอร์ ชอบก็คือ คำว่า ค่าประสบการณ์ ในเกมนี้ คือค่าประสบการณ์ในการเล่นจริงๆ การรู้จักเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ หากถูกล้อมจนมุม จะหาทางหนียังไง จะตั้งรับในจุดไหนของแต่ละแผนที่ การเคลื่อนย้ายไปเป็นกลุ่ม การรู้จักหน้าที่ของตัวเอง และ รู้จุดแข็ง จุดอ่อนของศัตรู
และที่สำคัญของเกมนี้ก็คือ ต้องมีทักษะในการจัดการเงินและกระสุน เพราะเกมนี้จะไม่เหมือนกับเกมอื่นๆ ที่จะมอบกระสุนมาเป็นคลังแสง หรือมีอาวุธดีๆ ให้คุณใช้ด้วยการวิ่งเก็บ ทุกอย่างจะดีขึ้นหรือเลวร้ายขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ
หากมีเงินจำนวนหนึ่ง จะอัพเกรดอาวุธหรือจะซื้อเกราะก่อน อาจจะเจียดเงินมาซื้อกระสุนบ้าง หรือไม่ก็ไปวิ่งหาเก็บกล่องกระสุนแทน หากเงินเหลือจะสมทบงบให้เพื่อนได้ซื้อของดีๆ ด้วยรึเปล่า?
อีกทั้ง การสาดกระสุนแบบไม่ยั้งคิด ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด กระสุนมีจำกัดจำเขี่ยมากๆ ถ้าหากว่าหมดแล้ว โอกาสในการรอดของคุณก็จะน้อยลงตามไปด้วย แต่อย่างน้อยก็มี Zed Time (สโลว์โมชั่น) คอยช่วยชีวิตคุณในหลากหลายสถานการณ์คับขันได้
ยิ่งเล่นกับเพื่อนจำนวนเต็ม 6 คน จำนวน Zeds ก็ยิ่งเยอะทวีคูณตามไปด้วย!!
กลับมาเปิดเล่นแทบจะทุกวัน ด้วยระบบเกมที่พัฒนามาดี ภาพสวยตามสมัยนิยม สนุก สะใจ ด้วยการยิงให้หัวแตกและฟันให้ตัวขาด เลือดสาดกระจุยเต็มแผนที่ บวกกับเพลงเมทัลที่บรรเลงปลุกไฟ เร้าอารมณ์การฆ่าตัวประหลาดให้สนุกสะใจมากยิ่งขึ้น และตัวเกมที่ราคาไม่แพงมาก ก็ขอยกเกมนี้ให้เป็นเกมแห่งปี 2016 ของ #เหมียวเลเซอร์ ละกันครับ
เหมียวอ๊อดโด้ – Overwatch
สารภาพว่าตัว #เหมียวอ๊อดโด้ ไม่ได้เล่นเกมจริงๆ จังๆ มาสามสี่ปีแล้ว (เหตุคือคอมกาก) จนกระทั่งช่วงกลางปีที่ผ่านมาเพิ่งได้ฤกษ์ซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ และเกมที่หยิบมาเล่นบ่อยที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา ก็คงจะเป็น Overwatch เกมนี้
ในสมัยก่อน ตัว #เหมียวอ๊อดโด้ ไม่ค่อยชอบเกมแนว Online Multi-Player FPS ซักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะสมัยนั้น (ที่ยังเล่นเกม) อินเตอร์เน็ตยังไม่ค่อยแรง ทำให้ประสบการณ์การเล่นมันออกมาไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่
แต่หลังจากที่ได้กลับมาเล่น Overwatch ก็พบว่าเกมนี้มันสนุกจริงๆ นะ ด้วยตัวละครฮีโร่ที่หลากหลาย และแต่ละตัวก็มีความสามารถแตกต่างกันออกไป ก่อให้เกิดเกมเพลย์อันรวดเร็ว ฉับไว จนทำให้รู้สึกว่าสามารถหยิบมาเล่นได้เรื่อยๆ โดยไม่เบื่อ สรุปคือยกให้เกมนี้เลยละกันนะ
ประธานเหมียว – Firewatch คุณทำให้ผมคิดถึงเดไลล่าห์
หลายสำนักและเหมียวตัวอื่นๆ อาจจะให้เกมดังอย่าง Stardew Valley หรือกระทั่งเกมฮิตแห่งปี Overwatch เป็นเกมที่ดีที่สุด งั้นผมขอแตกต่างไปนิดเสนอชื่อเกมที่ชอบที่สุดของปีนี้อย่าง Firewatch มาติดล่ะกัน
เกมเล็กๆ ที่รอการเปิดตัวมาตั้งแต่ปีก่อน ว่าด้วยเรื่องของหนุ่มวัยกลางคนที่ผิดหวังจากชีวิตในเมือง มาเป็นหน่วยเฝ้าระวังไฟป่าในอุทยานแห่งชาติ และเรื่องราวของเค้าก็เริ่มจากตรงนี้
ตัวอย่างการเล่นเกมที่ทำให้ผมรู้สึกถูกชะตากับมันตั้งแต่แรกเห็น
และแม้การเล่นภายในเกมจะเป็นในแบบเรียบๆ ง่ายๆ จนรู้สึกว่ามันไม่ใช่เกมแอ็คชั่นลุยแหลก แต่การได้ชมวิวในเกมที่มีงานศิลป์อันเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกับเนื้อเรื่องดำเนินไปเรื่อย มีอะไรให้ขบคิดตลอดทั้งเกม ทำให้ช่วงเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงของเกมไม่น่าเบื่อแต่อย่างใด
อยากให้ลองค่อยๆ ซึมซับเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเล่นจบถึงกับทำให้รู้สึกหน่วงไปได้ทั้งวันกับสิ่งที่เกมนำเสนอมาให้เรา (ขอไม่สปอยล์เนื้อเรื่องแล้วกันนะ)
ตัวอย่างภาพจากเกม Firewatch
และมันทำให้ผมได้เพลงโปรดเพิ่มขึ้นมาอีกเพลงนึงด้วย…
เหมียวหง่าว – FIFA 17
ด้วยความที่ #เหมียวหง่าว นั้นเป็นแฟนฟุตบอลตัวยงติดตามเล่นเกม FIFA มาแทบทุกภาค และต้องขอบอกเลยว่าการเปลี่ยนเอนจิ้นใหม่มาเป็น Frostbite นั้นเป็นอะไรที่เพอร์เฟคมากๆ
ไม่ว่าจะเป็นโมชั่นตัวละคร หรือระบบการเคลื่อนไหวที่ดูสมูธมากขึ้น (แรกๆ อาจจะเล่นยากไปบ้าง) อีกทั้งยังมีการเพิ่มฉากท่าทางของผู้จัดการทีมก็ช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นได้เป็นอย่างดี
และที่สำคัญที่เป็นจุดเด่นสุดๆ เลยก็คือโหมด Journey ที่เพิ่มเข้ามา ทำให้เราสามารถเรียนรู้กับระบบของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพได้ดียิ่งขึ้น แถมเนื้อเรื่องยังทำให้เราอินแบบสุดๆ อีกต่างหาก (แต่เสียดายเนื้อเรื่องสั้นไปนี๊สสส)
ส่วนระบบอื่นๆ ทั้ง Ultimate Team และการเล่นออนไลน์นั้นก็ยังคงมีสเน่ห์เช่นเคย โดยรวมแล้วถือว่าสนุกครับ ดี และตอนนี้ยิ่งลดราคา 50% แล้วก็จัดไปเลย รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน!!
Game of the Meow 2016 ได้แก่ Overwatch
ด้วยการโหวตจาก #เหมียวอ๊อดโด้ และ #เหมียวฟิ้น แถมยังเป็นเกมที่แมวเหมียวในออฟฟิศเล่นกันหลังเลิกงานแทบจะทุกวัน (รองจาก Fifa 17 ที่ดวลกันทุกช่วงบ่าย ฮ่าาาา)
เพราะฉะนั้นตำแหน่งของเกมแห่งปีคงจะหนีไปไหนไม่ได้ ขอยกรางวัลให้กับ Overwatch แบบงามๆ เลยครับ!!!
#เหมียวฟิ้น กับ Overwatch ที่เล่นอยู่ทุกวัน
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.