บางครั้งโลกของเราก็ไม่ได้สวยงามเสมอไป คนพิการบางครั้งก็ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากเหล่าคนปกติ บางครั้งก็ถูกต่อว่าด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับเรื่องราวของชายตาบอดคนนี้ ที่ต้องพบเจออยู่เป็นประจำร่วมกับสุนัขช่วยเหลือคู่ใจของเขา
คุณ Amit Patel อดีตแพทย์ห้องฉุกเฉินวัย 37 ปี ที่สูญเสียการมองเห็นไปเมื่อห้าปีก่อนด้วยโรคกระจกตาย้วย (Keratoconus) ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่ในสังคมได้อย่างยากลำบากกว่าคนปกติทั่วไป
แค่นั้นมันก็ยังไม่แย่พอ เพราะล่าสุดเขาได้ทำการติดกล้องไว้บนหลังของเจ้า Kika หมาช่วยเหลือผู้พิการที่เขาเลี้ยงไว้ เพื่อบันทึกภาพในระหว่างการเดินทางไปไหนมาไหนของเขา
และก็พบว่ามีผู้คนมากมายที่แสดงท่าทีรังเกียจ พยายามจะกลั่นแกล้ง ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนตาบอดที่พยายามจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเหมือนคนปกติ แต่ว่าคนอื่นๆ จะไม่ค่อยเต็มใจยอมรับเขาเท่าไหร่นัก
ในทุกๆ วันคุณ Amit จะทำการย้ายวิดีโอลงบนคอมพิวเตอร์ และภรรยาของเขาก็จะเล่าให้ฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซึ่งก็ทำให้เขารู้ว่าโลกที่เขาต้องเผชิญอยู่นั้นมันช่างโหดร้ายเพียงใด
และนี่ก็คือเรื่องราวบางส่วนที่เขาได้พบเจอ…
ผู้คนพยายามเร่ง Amit ให้ทำอะไรเร็วๆ ที่สำนักงานแห่งหนึ่ง
มีคนพยายามเร่งให้ Amit หลีกทางในลิฟต์ เพื่อพวกเขาจะได้รีบออกไปจากลิฟต์ และด้วยความที่เจ้า Kika นั้นเป็นหมาที่ต้องคอยช่วยเหลือเขาจึงต้องพาไปอยู่ข้างกายตลอดเวลา
ด้วยความที่มันไม่รู้อะไรก็ทำให้มันยืนบังทางทำให้ไม่สามารถหลบได้ ก็มีคนที่พยายามใช้กระเป๋าหรือร่มตีมันเพื่อให้หลบทาง
นอกจากนี้คุณ Amit ยังเล่าต่ออีกว่า “ส่วนที่เลวร้ายที่สุดก็คือมีคนด่าทอผมมาจากข้างหลังด้วย เท่านั้นยังไม่พอหญิงสาวคนหนึ่งบอกให้ผมขอโทษที่ทำให้ผู้คนอีกหลายคนเสียเวลาติดอยู่ในลิฟต์ แม้ผมจะตอบกลับไปว่าแล้วผมต้องขอโทษที่เป็นคนตาบอดด้วยมั้ย? แน่นอนว่าเธอตอบว่า ‘ใช่’”
“ซึ่งบางครั้งเหตุการณ์เหล่านี้ก็ทำให้เจ้า Kika กลัว จนทำให้มันไม่กล้าขึ้นลิฟต์ไปหลายวันเลย” เขากล่าวเสริม
ผู้โดยสารไม่ยอมแชร์ที่นั่งข้างๆ ให้กับคุณ Amit และเจ้า Kika
คุณ Amit มักจะโดยสารรถไฟอยู่บ่อยๆ และหลายๆ ครั้งในวิดีโอก็จะพบว่ามีคนไม่ยอมแชร์ที่นั่งให้กับเขาและเจ้า Kika บางคนก็ถึงกับหยิบกระเป๋าหรือถุงช็อปปิ้งขึ้นมาวางบนที่ว่างข้างๆ เพื่อกันที่ไม่ให้เขานั่ง
ถูกเจ้าหน้าที่ปฏิเสธให้การช่วยเหลือ และถูกคนขับแท็กซี่เมิน
หลายๆ ครั้งที่เขาต้องเผชิญกับสถานการณ์แปลกๆ ที่เกิดจากความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เขาก็จะมีอาการร้อนรนและเห็นได้ชัดว่าต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งบ้างก็มีคนใจดีอาสาเข้ามาช่วย และบางครั้งก็ไม่มี
มีครั้งหนึ่งที่เจ้า Kika ถ่ายเหตุการณ์เก็บเอาไว้ได้ พบว่าในวันนั้นถนนที่เขาใช้เดินทางกลับบ้านนั้นถูกปิด และทำให้เขาต้องเดินอ้อมไปทางอื่น
ซึ่งเขาก็มีท่าทางดูกล้าๆ กลัวๆ เพราะไม่คุ้นชินกับเส้นทางนั้น มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ กับเขา แต่ก็ไม่ยอมยื่นมือให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด
และในส่วนของแท็กซี่นั้น คุณ Amit เล่าว่ามีหลายครั้งที่เขาพยายามจะทำท่าโบกแท็กซี่ ก็รู้สึกว่าทำไมถึงใช้เวลานานเหลือเกิน พอกลับมาดูวิดีโอแล้วก็พบว่ามีแท็กซี่หลายคันที่เลือกจะไม่จอดรับเขาและขับผ่านไป
คุณ Amit เล่าว่าหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็อาจมีต้นเหตุมาจากเจ้า Kika ที่หลายๆ คนกลัวว่ามันจะดุร้ายและทำร้ายพวกเขา หรือรังเกียจในความสกปรกหรือกลิ่นตัวของพวกมันจึงไม่ยอมให้พวกเขาเข้าใกล้
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งจำเป็นเพราะมันสามารถช่วยให้เขารู้สึกสบายใจและช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตของเขาได้เป็นอย่างดี
คุณ Amit ยังเล่าเพิ่มเติมอีกว่า มีครั้งหนึ่งที่เจ้า Kika นั้นได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ในวันนั้นเขากำลังเดินข้ามถนนที่ทางม้าลายในเขต Lewisham แต่จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งฝ่าไฟแดงมาและกำลังจะชนเขา แต่เจ้า Kika เห็นรถคันดังกล่าวพุ่งมาอย่างเร็วก็เลยกระโดดเข้ามาข้างหน้ารถ ทำให้รถต้องหักหลบออกไป
เจ้า Kika ได้รับบาดเจ็บที่จมูกเล็กน้อยจากการถูกเฉี่ยว และต้องพักรักษาตัวเป็นเวลา 3 วัน
คุณ Amit จึงมองเห็นถึงความสำคัญของสุนัขช่วยเหลือ และเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครในองค์กร RNIB องค์กร Action for Blind People และ องค์กร Guide Dogs for the Blind เพื่อช่วยฝึกให้ผู้ใช้หมาช่วยเหลือมือใหม่มีความชำนาญในการใช้งานพวกมันมากยิ่งขึ้น และช่วยให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างไม่เบียดเบียนผู้อื่น
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามการได้รับรู้ว่าเขาถูกกระทำอย่างไร และภาพพจน์ของเขาต่อคนอื่นๆ ในสังคมก็ทำให้เขารู้สึกแย่ยิ่งขึ้นไปอีก
“การสูญเสียการมองเห็นนั้นทำให้ผมรู้สึกโดดเดี่ยวมาก และถ้ายิ่งรู้แบบนี้แล้วการเดินทางออกไปในที่สาธารณะมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนเด็กชายตัวเล็กๆ ที่นั่งกลัวอยู่ตรงมุมห้อง” คุณ Amit กล่าว
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่เขาต้องพบเจอในทุกๆ วัน ทั้งการดูถูกและเหยียดหยามจากบุคคลรอบข้าง
เป็นเรื่องราวที่อ่านแล้วทำให้รู้สึกเศร้าจริงๆ คงไม่มีใครที่อยากจะเป็นคนพิการกันหรอก แล้วยิ่งมารู้อีกว่าตัวเองถูกกระทำอย่างไรบ้างในชีวิตประจำวันก็ยิ่งทำให้พวกเขาต้องรู้สึกแย่ยิ่งขึ้นไปอีก
ที่มา : independent, metro
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.