ในชีวิตประจำวันแต่ละวันของเรา มักจะได้พบเห็นกับสัญลักษณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะบนป้าย ข้างถนน หรือแม้แต่บนรีโมทโทรทัศน์!!
คราวนี้เราจะขอทำตัวมีสาระกับเค้าบ้าง เดี๋ยวจะหาว่า #แก๊งค์แมวเหมียว พวกนี้เป็นแต่ทำตัวหื่นอย่างเดียว ขอพาไปเจาะลึกกับที่มาที่ไปของ 7 สัญลักษณ์สากลโลก ที่ทุกคนต่างรู้จักกันดี เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เปลืองสามจี เริ่มกันเลยดีกว่า…
1. สัญลักษณ์ ‘&’
ที่มาที่ไปของสัญลักษณ์ที่เราใช้แทนค่าคำว่า ‘และ’ นั้นเดิมทีเป็นภาษาละตินจากคำว่า ‘Et’ ที่แปลว่า ‘And’ นั่นแหละ ซึ่งเดิมทีมันถูกคิดค้นขึ้นโดย ‘Tiro’ เลขาส่วนตัวของกษัตริย์ซิเซโร่ ตั้งแต่สมัยกรุงโรมนู้นแล้ว
หลายศตวรรษต่อมา คำดังกล่าวกลายเป็นที่นิยมไปทั่วยุโรป และอเมริกา บวกกับการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และความรวดเร็วในการเขียน ทำให้สัญลักษณ์แรกเริ่ม ‘Et’ มารวมกันเป็นตัว ‘&’ แทนซะงั้น!?
2. สัญลักษณ์รููปหัวใจ
จะว่าไปแล้วสัญลักษณ์รูปหัวใจถูกเอามาใช้ในเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับความรักมานานหลายทศวรรษได้แล้วล่ะมั้ง? และทฤษฏีที่มาที่ไปของมันก็มีหลักๆอยู่ 3 ข้อดังนี้
1. เป็นสัญลักษณ์ที่เกิดจากการที่มนุษย์เห็น หงส์ สองตัวว่ายน้ำเข้าหากันกลายเป็นรูปทรงคล้ายหัวใจ ซึ่งในวัฒนธรรมต่างๆทั่วโลก หงส์ ถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความซื่อสัตย์ และความจงรักภักดี โดยมีที่มาจากลักษณะนิสัยการอยู่กับคู่ครองไปตลอดชีวิตของพวกมันนั่นเอง
2. อีกทฤษฏีหนึ่งบอกว่า สัญลักษณ์ดังกล่าวมีที่มาจากรูปทรงกระดูกเชิงกรานของผู้หญิง ซึ่งในยุคกรีกโบราณนั้น มีการศึกษาลักษณะทางกายภาพของมนุษย์อย่างจริงจัง และสิ่งหนึ่งที่เปรียบเสมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้ชายในยุคนั้น คงหนีไม่พ้นบริเวณใกล้กับกระดูกเชิงกรานนั่นแหละ
3. ยังมีอีกทฤษฏีที่กล่าวไว้ว่า ที่มาของรูปหัวใจนั้นมาจากใบไม้เลื้อย ที่ปรากฏอยู่ในภาพของเทพเจ้าไดโอนีซุส ผู้เป็นเทพแห่งการหมักไวน์ และผู้มอบความรัก
3. สัญลักษณ์ ‘บลูทูธ’
ย้อนกลับไปช่วงศตวรรษที่ 10 ครั้งหนึ่งเดนมาร์คเคยถูกปกครองโดยกษัตริย์ที่ชื่อว่า ‘Harald Blåtand’ เขาเป็นผู้ที่ต้องการจะรวบรวมเผ่าแดนิชให้เป็นปึกแผ่นเดียวกัน อีกทั้งเจ้าตัวยังได้รับฉายาว่า ‘Bluetooth’ เนื่องจากชอบกินผลบลูเบอร์รี่มากซะจนฟันกลายเป็นสีฟ้า
กลับมาในยุคที่เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น นวัตกรรม ‘Bluetooth’ ถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อราว สิบกว่าปีก่อน โดยชื่อของมันมีที่มาจากเรื่องราวของกษัตริย์เดนมาร์คที่เล่าไปก่อนหน้านี้นั่นแหละ จะเห็นได้ว่ารูปแบบการทำงานนั้นเหมือนกัน คือการพยายามเชื่อมต่อจากสิ่งหนึ่ง สู่อีกสิ่งหนึ่ง เพียงแต่เปลี่ยนจากอาณาจักร ให้เป็นอุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์เท่านั้นเอง
4. สัญลักษณ์การแพทย์
เชื่อว่าหลายคนคงเคยเห็นสัญลักษณ์ไม้เท้าที่มีงูสองตัวพันกัน แล้วด้านบนก็มีปีกเหมือนเทวดาแบบนี้ ตามโรงพยาบาล หรือไม่ก็รถพยาบาลทั้งหลาย แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามันเกิดจากข้อผิดพลาด!?
ต้องเล่าย้อนกลับไปถึงตำนานเทพปกรนัมของชาวกรีกกันก่อนว่า เทพเจ้าเฮอร์เมส ได้สร้างไม้คทาอันหนึ่งขึ้นมา ซึ่งมีพลังสามารถยุติการทะเลาะเบาะแว้งจากฝ่ายตรงข้ามได้ ซึ่งเอาจริงๆก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการรักษาพยาบาลเลยแม้แต่นิด
กลับมาในช่วงหลายร้อยปีก่อนในสหรัฐฯ ทีมแพทย์ประจำกองทัพทหารเกิดการสับสนระหว่างไม้คทาของเทพเจ้าเฮอร์เมส กับไม้คทาของ ‘Asclepius’ (มีลักษณะคล้ายกันแต่ไม่มีปีกอยู่ด้านบน) ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งการรักษาพยาบาล และดันไปเลือกใช้ในแบบของเทพเจ้าเฮอร์เมสแทน จึงทำให้เราได้เห็นสัญลักษณ์ทางการแพทย์ที่เห็นกันแทบทุกวัน เป็นแบบดังกล่าวนี่แหละ
5. สัญลักษณ์ปุ่ม ‘พาวเวอร์’
เรียกได้ว่าเป็นปุ่มที่พบเจอได้บนทุกเครื่องอุปกรณ์อิเล็คโทรนิค และที่มาที่ไปของมันนั้นก็แสนจะเรียบง่ายกว่าอันอื่นๆ ย้อนไปในช่วงปี 1940s วิศวกรคนหนึ่งได้นำเสนอสัญลักษณ์ตัวเลข ‘1’ สำหรับเปิด และ ‘0’ สำหรับปิด บนอุปกณ์ต่างๆ แต่ทว่าต่อมามันถูกนำมาอะแด๊ปให้ผสมผสานกันอย่างลงตัว กลายเป็นแบบอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ไงล่ะ
6. สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ
สัญลักษณ์พีซ (มีอีกชื่อว่า The Pacific) ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1958 ระหว่างการประท้วงต่อต้านอาวุธนิวเคลียร์ โดยเป็นการผสมผสานภาษากายระหว่างตัวอักษร ‘N’ และ ‘D’ ซึ่งย่อมาจาก ‘Nuclear Disarmament’ (การลดอาวุธนิวเคลียร์)
จากสองสัญลักษณ์ดังกล่าวนำมารวมกัน กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ถูกนำมาใช้ในเชิงการเรียกร้องด้านสันติภาพ นับตั้งแต่นั้นมา
7. สัญลักษณ์ ‘OK’
ถ้าเห็นใครทำมือ โอเค๊!! แบบนี้ละก็เราคงเข้าใจดีว่านั่นหมายถึงอะไร ซึ่งมีทฤษฏีหนึ่งกล่าวไว้ว่า สัญลักษณ์มือแบบที่เห็นมีที่มาจาก ‘Andrew Jackson’ ประธานาธิบดีคนที่ 7 ของสหรัฐฯ
เมื่อเวลาที่ต้องเซ็นเอกสารอะไร เจ้าตัวก็มักจะเขียนด้วยคำว่า ‘All Correct’ โดยในภาษาเยอรมันเขียนได้ว่า ‘Oll Korrect’ จนต่อมากลายมาเป็นตัวย่อสั้นๆว่า ‘OK’ ก่อนที่จะฮิตไปทั่วโลกในเวลาต่อมา
และทั้งหมดนี้ก็เป็นที่มาของสัญลักษณ์ที่เรามักเห็นกันเป็นประจำ แต่บางอันก็ดูไร้สาระสุดๆ ฮ่าๆๆ
ที่มา: Brightside
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.