เปิดชุดภาพถ่ายที่ไม่ได้รับการเปิดเผยของ “มาริลิน มอนโร” ในช่วงที่เธอตั้งครรภ์อย่างลับๆ

ในยุค 50 สาวในฝันที่ชายหนุ่มทั่วโลกหมายปอง เห็นจะหนีไม่พ้น “มาริลีน มอนโร” สัญลักษณ์ทางเพศที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ภาพของหญิงสาวผมบลอนด์ ทาลิปสติกสีแดง กับชุดสีขาว ได้กลายเป็นภาพที่หลายๆ คนยกขึ้นมาเมื่อพูดถึง “สาวเซ็กซี่”

แม้กระทั่งปัจจุบัน เรายังสามารถพบเห็นภาพของเธอได้จากสื่อหรือสถานที่ต่างๆ ทั่วโลก

 

 

และอย่างที่ทราบกันดีว่า มาริลิน มอนโร นั้นไม่มีทายาทแม้แต่คนเดียว แต่ล่าสุดอดีตเพื่อนสนิทมาริลินได้เผยภาพลับที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนออกมา ซึ่งเป็นภาพขณะที่เธอตั้งครรภ์ในช่วงปี 1960!!

 

 

เจ้าของภาพถ่ายชุดดังกล่าวมีชื่อว่า เฟรยด้า ฮัลล์ เธอบอกว่าช่วงนั้นเธอทำงานให้กับสายการบินแพนอเมริกาแอร์ไลน์ ทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับเหล่าคนดังและดาราหลายๆ คน ซึ่งมาริลินก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งพวกเธอเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

ตอนนั้น มาริลินแต่งงานกับดาราชาวฝรั่งเศส “อีฟ มงต็อง” ขณะที่ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่อง Let’s Make Love

 

 

ภาพชุดดังกล่าวเป็นภาพที่มาริลินสวมชุดสีเนื้อ ซึ่งบริเวณหน้าท้องของเธอ มีความนูนเหมือนกับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ซึ่งเรื่องราวดังกล่าว ถูกเฟรยด้าเก็บเป็นความลับเสมอมา จนกระทั่งเธอเสียชีวิต “โทนี่ ไมเคิล” เพื่อนบ้านซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ได้นำภาพชุดดังกล่าวออกมาเผยต่อสาธารณะชน

 

 

“เฟรยด้าภูมิใจในภาพถ่ายชุดนี้มาก และเธอเก็บภาพนี้ไว้เป็นความลับจนวันที่เธอเสียชีวิต แต่เธอเคยเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง เธอบอกว่า มาริลินตั้งท้องกับมงต็อง”

“ผมบอกเธอว่า ถ้าเธอเอาภาพชุดนี้ไปขาย เธอจะต้องได้เงินจำนวนมากและสามารถมีชีวิตที่ดีกว่าทุกวันนี้แน่ๆ แต่เธอกลับปฏิเสธ เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทของมาริลิน” โทนี่ กล่าว

 

 

ภาพหลังเฟรยด้าเสียชีวิต ทรัพย์สินของเธอถูกนำมาประมูลขายทอดตลาด เธอมีข้าวของที่เกี่ยวของกับมาริลินมากมาย ทั้งลายเซ็น เศษผม ซึ่งหลายๆ ชิ้นสามารถประมูลไปได้ด้วยราคากว่า 86,000 ดอลลาร์ ( 3 ล้านบาท)

แต่ดูเหมือนว่าภาพถ่ายชุดมาริลินตั้งท้องจะถูกมองข้ามไป และมีคนประมูลไปด้วยราคาเพียง 2,240 ดอลลาร์ (78,000 บาท)

 

 

แต่อย่างที่กล่าวไปในช่วงต้น มาริลิน ไม่มีทายาทสืบสายเลือดแม้แต่คนเดียว เพราะเธอแท้งลูกในเวลาต่อมานั่นเอง แต่โทนี่กล่าวว่า เฟรยด้าไม่เคยบอกว่าต้นเหตุที่มาริลินแท้งลูกนั้นเป็นความตั้งใจหรือเป็นแค่ความโชคร้ายเท่านั้น

 

ที่มา dailymail

Comments

Leave a Reply