โบสถ์โดมินิกันในประเทศเม็กซิโกได้จมไปอยู่ก้นแม่น้ำมาตั้งแต่ช่วงทศววรตที่ 1960 แต่หลังจากที่ประเทศเม็กซิโกต้องเผชิญกับปัญหาภัยแล้ง จนสามารถเห็นโบสถ์เก่าแก่ที่มีอายุมากกว่า 400 ปี นี้ได้อีกครั้งหนึ่ง
โบสถ์แห่งนี้ถูกสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นมาโดยพระและแม่ชี ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1500 เมื่อพวกเขาเดินทางมายังประเทศเม็กซิโกเพื่อเผยแพร่ศาสนา ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก
จนมาถึงช่วงปี 1962 ได้มีการสร้างเขื่อน Benito Juarez Dam ขึ้นมาทำให้โบสถ์แห่งนี้ถูกน้ำท่วมไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา
จากนั้นปริมาณน้ำในเขื่อน ก็ค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันเหลือจำนวนน้ำเพียง 16 เปอร์เซ็นต์จากความสามารถในการจุน้ำได้ทั้งหมดของเขื่อน นั่นหมายความว่าเราสามารถมองเห็นเกือบทุกส่วนของโบสถ์ได้แล้ว
จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รู้ถึงความรุนแรงของปัญหาภัยแล้งในประเทศเม็กซิโกได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่ามันส่งผลไปถึงการทำการเกษตรอย่างเช่นการปลูกข้าวโพด ที่เป็นพืชเศรษฐกิจของพวกเขาด้วย
สถาปัตยกรรมบางส่วนของโบสถ์ก็ถูกน้ำกัดเซาะจนหายไป แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงอยู่ในสภาพที่ดีอยู่
พื้นที่ที่แห้งแล้ง
ภายในที่ยังคงมีน้ำขังอยู่
บางส่วนก็แห้งสนิท จนเด็กๆ สามารถเข้ามาวิ่งเล่นกันได้
ต้องขอบอกเลยว่า เป็นสถาปัตยกรรมที่อึด ถึก และทน จริงๆ หลังจากที่นอนอยู่ก้นแม่น้ำมานานนับ 50 ปี แต่ก็ยังคงรูปร่างเดิมเอาไว้ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุการณ์นี้ก็ชี้ให้เห็นว่าโลกของเรากำลังเผชิญปัญหาภัยแล้งในหลายๆ พื้นที่
ส่วนสาเหตุก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากภาวะโลกร้อนนี่เอง เพราะฉะนั้นช่วยกันหันมาเอาใจใส่โลก และลดปัญหาโลกร้อนด้วยกันนะจ๊ะ ^^
ที่มา : dailymail
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.