ซานฟรานซิสโก ออกกฎหมายบังคับร้านสัตว์เลี้ยง ให้ขายสัตว์จากสถานสงเคราะห์เท่านั้น

เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดจะรับสุนัขมาเลี้ยงที่บ้าน ที่แรกที่เราจะมองหาก็คือที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง เพื่อหาลูกสุนัขหน้าตาน่ารักๆ มาเลี้ยง คงจะมีน้อยคนมาที่จะรับเอาสุนัขจากสถานสงเคราะห์มาเลี้ยง เพราะพวกมันโตแล้วและก็ไม่ได้น่ารักเท่าไหร่

การที่คนไม่ค่อยจะรับเลี้ยงสุนัขตามสถานสงเคราะห์นั้น ทำให้จำนวนของพวกมันเพิ่มมากขึ้นและยากต่อการจัดการ ด้วยเหตุนี้เองทางเมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกาจึงได้ออกกฎหมายบังคับให้ร้านขายสุนัขต้องขายแต่สุนัขที่ได้รับการช่วยเหลือมาเท่านั้น

 

 

เรื่องนี้ถูกเปิดเผยผ่านเว็บไซต์ Independent เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเนื้อหาได้กล่าวว่าเจ้าหน้าที่ซานฟรานซิสโกได้มีมติออกกฎหมายห้ามร้านขายสัตว์เลี้ยงขายสุนัขและแมวที่ไม่ได้ผ่านการช่วยเหลือมาก่อน

มาตรการนี้เป็นหนึ่งในความพยายามที่จะแก้ปัญหาสุนัขและแมวแพร่พันธุ์ตามที่ต่างๆ แบบ “ไร้มนุษยธรรม” นั่นเอง ซึ่งฟาร์มหรือร้านพยายามปั๊มสัตว์พันธุ์ดีอันเป็นที่นิยมออกมาขายทำกำไร ส่วนตัวที่ขายไม่ได้ บางครั้งก็กลายเป็นสัตว์เร่ร่อน แล้วกลายเป็นว่าสถานรับเลี้ยงต่างๆ ต้องเขามาดูแล

 

 

นอกจากกฎหมายบังคับให้ขายเฉพาะสัตว์จากสถานสงเคราะห์แล้ว ยังมีกฎเพิ่มเติมอีกว่าห้ามขายสัตว์เลี้ยงที่มีอายุต่ำกว่า 8 สัปดาห์ด้วย เพราะเนื่องจากพวกมันยังเด็กเกินกว่าที่จะถูกรับไปเลี้ยง

นี่ไม่ใช่เมืองแรกที่มีการออกกฎหมายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เพราะก่อนหน้านี้เองมีทั้งเมืองลอสแองเจลิส ซานดิเอโก ชิคาโก้ ฟิลาเดเฟีย บอสตัน และออสติน ได้ออกกฎหมายนี้นำร่องไปก่อนแล้ว

 

 

Mimi Bekhechi ผู้อำนวยการองค์กรการกุศลต่อต้านการทารุณกรรมสัตว์กล่าวว่า “ด้วยมตินี้จะพิสูจน์ให้เห็นว่าซานฟรานซิสโกเป็นเมืองแห่งความรักสำหรับสุนัขและแมวนับล้านที่หมดหวังจะหาบ้านใหม่”

มีการคาดกันกฎหมายครั้งนี้น่าจะช่วยให้เหล่าแมวและสุนัขตัวเมีย ที่ถูกจับขังไว้ตามร้านขายสัตว์เลี้ยงเพื่อเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงไปขายได้รับอิสระ

นอกจากนี้มันจะช่วยให้เหล่าสัตว์เลี้ยงที่ไร้เจ้าของพวกนี้มีบ้านอยู่ราวๆ ปีละ 6,000 ตัวเลยทีเดียว

 

หวังว่าสักวันหนึ่งบ้านเราจะมีกฎหมายอะไรแบบนี้ออกมาบ้าง เพื่อช่วยลดจำนวนสัตว์จรจัดในบ้านเราบ้าง

คิดว่าถ้าออกมาจริงๆ จะช่วยลดปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่ ลองแสดงความคิดเห็นผ่านช่องคอมเม้นท์กันได้นะครับ

ที่มา independent , Katy Tang

Comments

Leave a Reply