บนโลกเรานี้เต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลายและมีการสืบทอดกันมายาวนาน ซึ่งก็มีบางวัฒนธรรมที่ดูจะแปลกๆ ไปซะหน่อย ถ้ามองจากมุมมองของเรา แต่ในมุมมองของคนท้องถิ่นเหล่านั้น ก็เป็นเรื่องปกติของพวกเขา ทำให้มันถูกสืบทอดทำต่อมาจนทุกวันนี้
อย่างวัฒนธรรมต่อไปนี้ที่ดูแปลกในสายตาชาวโลก แต่สำหรับผู้ที่อยู่ภายใต้วัฒนธรรมเหล่านี้ถือเป็นสิ่งดีงามและศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงมีการรักษาและสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นนั่นเอง
1. วัฒนธรรมตัดนิ้วมือ
เมื่อมีการเสียชีวิตของสมาชิกในครอบครัวของชนเผ่า Dani ในอินโดนีเซีย ถือเป็นความสูญเสียสะเทือนอารมณ์มากๆ โดยเฉพาะกับผู้หญิง เพราะผู้หญิงในครอบครัวจะถูกบังคับให้ตัดนิ้วมือส่วนหนึ่งออก
แต่ก่อนที่จะทำการตัดนิ้วมือ พวกเขาจะทำการนำเชือกมามัดนิ้วไว้ 30 นาทีเพื่อให้เกิดความรู้สึกชา และเมื่อตัดนิ้วมือออกแล้ว ก็จะทำการเผาปลายนิ้วที่ถูกตัดเพื่อเป็นการปิดแผล
ประเพณีนี้ถือเป็นวิธีปฏิบัติทางวัฒนธรรมที่แปลกที่สุดในโลก ที่ทำขึ้นเพื่อให้เกียรติบรรพบุรุษ ปัจจุบันยังหลงเหลืออยู่ในแค่ในหมู่บ้านเล็กๆ เท่านั้น
2. วัฒนธรรม Endocannibalism
ชนเผ่า Yanomami อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่อยู่ในป่าฝนอะเมซอนใกล้กับชายแดนเวเนซูเอลาและบราซิล พวกเขามักเป็นที่รู้จักในฐานะผู้สืบทอดวัฒนธรรม Endocannibalism
Endocannibalism คือวัฒนธรรมการกินคนในชนเผ่าตัวเองหลังจากพวกเขาเสียชีวิตแล้ว โดยจะเอาศพมาชำแหละบนใบไม้ที่ปูไว้ แล้วก็ตากแห้งเอาไว้ให้แมลงมากัดกิน
หลังจากทิ้งไว้ประมาณ 30-45 วัน พวกเขาก็จะนำกระดูกที่เหลือมาบดแล้วผสมลงไปในซุปกล้วย จากนั้นก็จะร่วมกันกินทั้งหมู่บ้าน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติมากๆ สำหรับพวกเขา

อีกหนึ่งปีต่อมา พวกเขาจะนำขี้เถ้าที่เก็บไว้มาต้มเป็นซุปอีกครั้ง โดยมีความเชื่อว่าทำแบบนี้แล้ววิญญาของคนตายจะหาทางไปสู่สวรรค์ได้
3. วัฒนธรรมการใช้ชีวิตกับคนตาย
ชาวโตราจาจากประเทศอินโดนีเซียจะมีประเพณีขุดศพคนตายขึ้นมาจากหลุมศพในทุกๆ ปี เพื่อที่จะใช้ชีวิตร่วมกับศพเหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่
แต่ทุกอย่างไม่ได้จบแค่นี้ พวกเขาจะนำเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เตรียมไว้มาใส่ให้ศพนั้นไว้แล้วจะพาเดินรอบๆ หมู่บ้าน และแม้ว่าศพนั้นจะอยู่มานานเป็นสิบๆ ปี พวกเขาจะขุดขึ้นมาประกอบพิธีทุกปี
ส่วนวัตถุประสงค์หลักของพิธีกรรมนี้ ก็เพื่อนำศพขึ้นมาล้าง ทำความสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ และพาศพกลับมาเยี่ยมชมบ้านตัวเอง
นั่นหมายความว่า ถ้าศพคนในหมู่บ้านถูกฝังอยู่นอกหมู่บ้านหรือที่อื่น พวกเขาก็จะทำการขุดศพนั้นขึ้นมาแล้วพากลับมาทำพิธีที่หมู่บ้านหรือบ้านเกิดของศพนั้นๆ
4. วัฒนธรรมบูชาหมีของชาวไอนุ
ชาวไอนุมีถิ่นกำเนิดจากตอนเหนือของญี่ปุ่นและรัสเซีย พวกเขาจะมีวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยมีความเชื่อว่าพระเจ้าแปลงกายมาเป็นหมีที่อยู่ร่วมกับมนุษย์เพื่อปกป้อง รักษาและให้ชีวิตแก่มนุษยชาติ
ดังนั้นพวกเขาจึงพิธีกรรมสำคัญที่เรียกว่า “Iyomante” ซึ่งเป็นการส่งวิญญาณของสัตว์กลับคืนสู่สวรรค์ โดยจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์
พวกเขาจะทำการบูชายัญหมี โดยการจับลูกหมีมาเลี้ยงดูอย่างดีเป็นเวลา 2 ปี จากนั้นก็จะทำพิธีส่งพวกมันกลับสู่สวรรค์เพื่อเป็นการส่งข้อความถึงบิดาแห่งหมีผู้ยิ่งใหญ่บนท้องฟ้า
ส่วนเนื้อหนังของหมีจะถูกนำมาใช้เป็นอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ในขณะที่กะโหลกหมีนั้นจะถูกนำไปเป็นเครื่องสักการะบูชาเพื่อระลึกถึงพระเจ้า
แน่นอนว่าสำหรับคนภายนอกแล้ว พวกเขามองว่ามันเป็นพิธีกรรมที่โหดร้ายและน่ากลัว เพราะถือเป็นการทารุณกรรมสัตว์ ดังนั้นหลายคนจึงไม่เห็นด้วยกับพิธีดังกล่าว
5. พิธีทำร้ายตัวเอง
สาวกบางส่วนของนิกายชีอะห์ของศานาอิสลาม เช่น ปากีสถาน อิรัก อิหร่าน ตุรกี แาเซอไบจาน เลบานอน และบาเรห์น มีการประกอบพิธีเฆี่ยนและทำร้ายตัวเองด้วยใบมีดเพื่อให้เลือดไหลออกจากร่างกาย
พิธีกรรมนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงความทุกข์ทรมานของฮุสเซนผู้เป็นหลานชายของศาสดามูฮัมหมัด
อย่างไรก็ตามผู้ที่ร่วมทำพิธีนี้เป็นเพียงแค่สาวกชีอะห์บางส่วนเท่านั้น เพราะยังมีนักบวชชีอะห์บางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและได้ตำหนิพิธีดังกล่าว
6. พิธีอุ้มภรรยาข้ามถ่านไฟ
จีนถือเป็นประเทศหนึ่งที่มีวัฒนธรรมแปลกๆ มากที่สุด และหนึ่งในนั้นคือ การอุ้มภรรยาข้ามถ่านไฟร้อนๆ ซึ่งเป็นประเพณีดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
ผู้ที่เข้าร่วมพิธีนี้คือคู่รักที่เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ๆ ซึ่งจะให้สามีอุ้มภรรยาก่อนพาเข้าบ้านฝ่ายชาย โดยมีความเชื่อว่าทำแบบนี้แล้วภรรยาจะทำงานได้ดีและทั้งคู่จะประสบความสำเร็จ
แต่ก็ยังมีชาวจีนบางส่วนออกมาคัดค้านพิธีกรรมนี้ เนื่องจากเป็นการทำที่อันตรายและเสี่ยงต่อชีวิตของคู่บ่าวสาว พวกเขาให้ความเห็นว่าพิธีกรรมนี้ไม่ควรมีอยู่อีกต่อไป
7. พิธีศพของชาวเอสกิโม
ชาวเอสกิโมมีพิธีกรรมหนึ่งที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก เพราะปัจจุบันเหลือแค่ไม่กี่หมู่บ้านเท่านั้นที่ทำ พิธีที่ว่านี้คือ การนำคนเฒ่าคนแก่ของหมู่บ้านไปปล่อยทิ้งไว้ขนภูเขาน้ำแข็ง แล้วให้เขาเผชิญกับความตายด้วยตัวเอง
ชาวเอสกิโมมีความเชื่อว่า เป็นการสร้างความสะบายใจให้กับคนแก่ที่ไม่อยากเป็นภาระของครอบครัว ดังนั้นลูกหลานจึงส่งพวกเขาสู่ความตายอย่างสง่างาม
แต่ละพื้นที่ก็มีความเชื่ออันแตกต่างกันไป ซึ่งเราจะไปตัดสินว่าอะไรถูกหรือผิดจริงๆ คงไม่ได้ล่ะเนอะ
ที่มา all-that-is-interesting
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.