หลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่กลุ่มก่อการร้าย ISIS ปรากฎตัวออกมาก็ล้วนมีผลกระทบมากมายหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ร้ายแรงที่สุดก็คือความสูญเสียที่ไม่อาจกลับคืนมาได้ดั่งเดิม
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะได้รับผลกระทบและสร้างความสะเทือนใจให้กับชาวซีเรียและชาวอิรักมากที่สุดก็คงจะเป็นสถานที่สำคัญๆ ทางประวัติศาสตร์ที่มีอายุมากกว่า 1,000 ปีของพวกเขาต้องถูกทำลายลงไป และแน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นไม่สามารถจะนำกลับมาได้อีกต่อไป
ภาพของมัสยิด Al Sultania ที่งดงามในเมืองอะเลปโปก่อนที่จะถูกโจมตีโดยกลุ่ม ISIS
ส่วนภาพนี้คือหลังจากสงครามกลางเมืองของกลุ่ม ISIS เรียกว่าแทบจะไม่เหลือความเป็นเนื้อเดิมอีกต่อไป
Zaki Aslan ผู้นำของกลุ่ม ICCROM-ATHAR ที่เป็นกลุ่มอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในตะวันออกกลางได้ออกมาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า
“กลุ่มประเทศตะวันออกกลางควรที่จะร่วมมือกันออกมาปกป้องประวัติศาสตร์โลกกันเสียที เพราะพวกเรากำลังเผชิญหน้ากับการล้มล้างวัฒนธรรมในประเทศอิรักและซีเรีย
นอกจากนั้นการทำลายมรดกของชาติถือว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมาก ด้วยเหตุนี้ทุกชาตจึงต้องโต้ตอบและหาทางรับมือทันที”
ภาพมุมสูงของวิหาร Baal Shamin ที่ถูกเหล่าผู้ก่อการร้ายทำลายลงจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง
ภาพจากมุมต่างๆ รอบๆ บริเวณวิหารที่แสดงให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย
.
.
.
วิหารแห่งเบลที่แม้จะเคยอยู่ในสภาพที่ไม่ได้ดีเยี่ยม แต่ก็ยังคงดูออกว่าเป็นวิหารแห่งเบลและหลงเหลือตัววิหารไว้ให้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์
ด้วยอายุของวิหารที่มากกว่า 2,200 ปี จึงไม่แปลกเลยที่จะมีเรื่องราวประวัติศาสตร์มากมายเกี่ยวกับที่แห่งนี้ แต่หลังจากที่กลุ่ม ISIS เข้ามาพร้อมกับระเบิดตัววิหารทิ้งไป เหลือไว้เพียงแต่ความโศกเศร้าและซากของวิหารเท่านั้น
นอกจากตัววิหารแล้ว สถานที่สำคัญๆ มากมายภายในเมืองก็ล้วนถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
ทิ้งไว้ก็แต่เศษซากและความทรงจำ ส่วนการจะบูรณะกลับมาให้เหมือนเดิมคงจะเป็นไปได้ยาก
นับตั้งแต่กลุ่ม ISIS เผยตัวตนขึ้นมาก็เป็นเวลาหลายปีแล้ว แน่นอนว่าการมาของกลุ่มก่อการร้ายพวกนี้ล้วนมีแต่ข้อเสียไม่จบไม่สิ้น ก็ทำได้หวังว่าเหตุการความสงบในตะวันออกกลางจะจบลงในเร็ววันอย่างที่ทุกคนภาวนาเอาไว้
ที่มา dailymail
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.