เปิดแฟ้มภาพเก่า ของเหล่า “ทาสบำเรอกาม” สาวเกาหลี ในสมัยที่โดนทหารญี่ปุ่นบุกโจมตี

สนามรบในอดีตอาจเต็มไปด้วยสู้รบ การนองเลือด และความเหน็ดเหนื่อย แต่เมื่อว่างจากการสู้รบเหล่าบรรดาทหารก็ได้พักผ่อน โดยจะได้รับการอำนวนความสะดวกสะบายเท่าที่ทำได้ หนึ่งในนั้นคือหญิงบำเรอ

หญิงสาวที่มาบำเรอกามให้ทหารนั้นมีทั้งเต็มใจและถูกบังคับ อย่างสาวเกาหลีที่ตกเป็นทาสกามในสมัยที่โดนทหารญี่ปุ่นบุกโจมตี

 

 

นี่เป็นวิดีโอขาวดำที่ถูกถ่ายในช่วงปี 1944 เป็นภาพผู้หญิง 7 คน ที่ยืนอยู่ด้านนอกของซ่องสำหรับทหารที่ยืดครองโดยประเทศจีน ซึ่งได้รับการปลดปล่อยจากญี่ปุ่นโดยกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตร

 

 

ในคลิปจะเห็นผู้หญิงหนึ่งในเจ็ดกำลังยืนคุยกับทหารจีน ด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยพอใจ ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ก้มหัวความกลัว ที่สำคัญดูเหมือนจะมีคนท้องอยู่ด้วย

คลิปดังกล่าวนี้ถูกค้นพบที่ US National Archives และได้รับการจัดเก็บไว้ที่ Records Administration ซึ่งมีอายุกว่า 70 ปีแล้ว

 

 

เนื้อหาของคลิปมีความเชื่อมโยงกับบันทึกทางสงครามที่แสดงให้เห็นเรื่องราวของทาสที่ถูกจับกุมใน Songshan โดยกองกำลังพันธมิตรในเดือนกันยายน ปี 1944

ปัจจุบันได้มีการเล่าเรื่องของหญิงสาวเกาหลีผู้ตกเป็นทาสกามผ่านงานเขียนเรื่อง ‘COMFORT WOMEN’ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาดังนี้

นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าผู้หญิงราวๆ 200,000 คน ที่ส่วนใหญ่มาจากเกาหลี ถูกบังคับให้ทำงานในซ่องกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

 

 

จากประเด็นในอดีตที่ญี่ปุ่นบังคับให้สาวเกาหลีเป็นทาสทางอารมณ์ ยังคงมีผลกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีจนทุกวันนี้

ชาวเกาหลีจำนวนมากที่ถูกละเมิดสิทธิในช่วงการล่าอาณานิคมของญี่ปุ่นในช่วงปี 1910-1945 ในคาบสมุทรเกาหลี

คำว่า Comfort Woman มาจากคำว่า jugun ianfu ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งหมายถึงผู้หญิงชาติพันธุ์ที่กลายเป็นทาสทางเพศสำหรับกองทัพญี่ปุ่นก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง

 

 

มีซ่องโสเภณีทหารทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ถูกครอบครองโดยกองกำลังญี่ปุ่น โดยผู้หญิงจะถูกบังคับให้เป็นที่ระบายอารมณ์ของทหารญี่ปุ่น 50 คนต่อวัน

ตามรายงานจากมหาวิทยาลัย San Francisco State University  บอกว่า “แม้ว่าผู้หญิง 80% จะเป็นเกาหลี แต่ผู้หญิงที่มาจากญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย พม่า และหมู่เกาะแปซิฟิคก็ถูกใช้เป็น Comfort Woman เช่นกัน

ทางหัวหน้าทหารเชื่อว่าการมีสาวบำเรอนั้นจะเป็นการสร้างกำลังใจในการทำงานให้ทหารและช่วยป้องกันไม่ให้ทหารใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงในพื้นที่ที่เข้ายึดครอง

 

 

แต่ทั้งนี้ผู้หญิงที่ถูกเลือกมาเป็นนางบำเรอนั้นต้องผ่านการตรวจสุขภาพด้วย เพื่อไม่ให้นำโรคร้ายมาติดทหาร นอกจากนี้ผู้หญิงหลายคนจะถูกฉีดสารบางชนิดที่ทำให้ไม่สามารถมีลูกได้

หลังจากที่สงครามจบลง ผู้หญิงจำนวนมากถูกฆ่าอย่างทารุณ โดยที่เรื่องราวของพวกเขาไม่ได้รับการเปิดเผยจนกระทั่งปี 1991

แต่ศาลทหารในเมือง Batavia เป็นเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่รับเรื่องดังกล่าวมาพิจารณา ปัจจุบันคือตั้งอยู่ในจาร์กาตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย

 

 

จากการพิจารณาคดี ทหารญี่ปุ่นหลายคนถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานบังคับขู่เขนผู้หญิงชาวดัตช์ 35 คน ให้เข้าสู่การเป็น Women Comfort

ต่อมาในปี 1993 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมายอมรับอย่างเป็นทางการว่าได้จัดหาผู้หญิงเข้าสู่ Women Comfort จริง แต่นักวิจารณ์ได้ออกมาเรียกร้องให้พวกญี่ปุ่นแสดงความรับผิดชอบมากกว่าการยอมรับเพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตามทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีต่างก็ต้องการให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศเป็นไปในทางทีดีขึ้น จึงได้มีการยุติความขัดแย้งเรื่องราวในอดีตเมื่อปี 2015

 

 

ผู้หญิงและสถานที่ที่เห็นในคลิปข้างต้นนั้นตรงกับภาพถ่ายของ Edwards C Fay ซึ่งเป็นช่างภาพของ US Army Signal Corps’ 164th ที่ถูกค้นพบในปี 2000

ด้านนักวิจัยเชื่อว่าผู้หญิงที่ปรากฏในคลิปนั้นเป็นสาวเกาหลีที่ถูกจับไปเป็นทาสกามในประเทศจีนที่ถูกยึดครองโดยทหารญี่ปุ่น หนึ่งในนั้นคือ Park Young-shim ที่กำลังตั้งครรภ์

Park Won-soon ผู้ว่ากรุงโซลได้ออกมาบอกว่า “เราจำเป็นต้องบันทึกเรื่องราวน่าเศร้าในนี้ประวัติศาสตร์ของประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้อีกในอนาคตและเพื่อแนวทางในการทำสิ่งที่ถูกต้อง”

 

 

ล่าสุดในเดือนพฤษภาคมของปีนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น Shinzo Abe ก็ได้เข้าพบทูตอาวุโสของเกาหลีใต้ในกรุงโตเกียว โดยได้พูดคุยและลดความตึงเครียดในประเด็น Comfort Women

นอกจากนี้ Shinzo Abe ยังได้ออกมาขอโทษผู้หญิงเกาหลีที่ถูกใช้เป็นทาสกามในสงคราม และพร้อมจะชดเชยด้วยเงิน 200 ล้านบาท

แต่เรื่องราวไม่จบลงเพียงเท่านี้ เพราะชาวเกาหลีใต้ส่วนหนึ่งมองว่าการแสดงความรับผิดชอบของญี่ปุ่นไม่เพียงพอต่อสิ่งที่เคยทำไว้ในอดีต จึงได้ออกมาประท้วงกันหลายต่อหลายครั้ง ที่ร้ายแรงที่สุดคือพระสงฆ์เกาหลีใต้รูปหนึ่งได้เผาตัวเองในระหว่างการประท้วง!!

 

แม้ความขัดแย้งยังคงมีให้เห็น แต่อดีตก็คืออดีตที่ไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้แล้ว สิ่งที่ทำได้คือต้องร่วมสร้างอนาคตที่ดีไปด้วยกัน เหมือนที่รัฐบาลญี่ปุ่นและเกาหลีใต้กำลังประณีประนอมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในตอนนี้

ที่มา dailymail

Comments

Leave a Reply