ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2017-2018 ใกล้จะเปิดฉากเข้ามาทุกที และหลายทีมต่างก็เร่งเสริมทัพด้วยนักเตะใหม่เพื่อหวังจะมีสุดยอดทีมที่จะไปคว้าแชมป์ให้ได้
อีกทีมที่ถูกพูดถึงอย่างมากก็คือแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้ผู้จัดการทีม “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” ซึ่งทำการทุ่มซื้อนักเตะในหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะแผงเกมรับ ซึ่งนั่นก็ตามมาด้วยแรงกดดันมหาศาลว่าจะต้องประสบความสำเร็จ
แรงกดดันนี้ยังมาจากฤดูกาลก่อนซึ่งเจ้าตัวพาทีมเรือใบปิดฤดูกาลโดยไม่ได้แชมป์สักถ้วยเดียว จนมีกระแสครหาว่าเขาคือของปลอม เป็นโค้ชไร้น้ำยา และความเข้าใจผิดต่างๆ มากมายก็ตามมา ไม่แน่คุณอาจจะเป็นอีกคนที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นมา และเข้าใจเขาผิดอยู่ในบางเรื่องก็ได้
1. มาคุมบาร์เซโลน่า ที่ใครคุมก็แชมป์!?
เป๊ปก้าวจากโค้ชทีมเยาวชนบาร์เซโลน่า มาสู่สโมสรชุดใหญ่ในปี 2008 หลังจากพาทีมประสบความสำเร็จ แชมป์ลีก 3 สมัยติดกัน โคป้าเดลเรย์ 1 สมัย และยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก 2 สมัย ซึ่งอาจจะคิดว่าใครคุมก็คงได้แชมป์
หากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นทีมสโมสรบาร์เซโลน่าเป็นทีมที่ไม่ได้แชมป์อะไรเลยมาถึง 2 ปีติดต่อกัน แถมยังจบอันดับ 3 ในลีก มีคะแนนตามหลังแชมป์อย่างเรอัล มาดริดถึง 18 คะแนน จนเป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนผู้จัดการทีมและปรับทัพนักเตะใหม่อีกครั้ง
ขณะที่พอเขาออกไป แม้ทีมจะได้ผู้ช่วยอย่างติโต้มาทำให้ได้แชมป์ลีกอีก 1 ครั้ง แต่เมื่อติโต้ออกจากงานเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ทีมเปลี่ยนโค้ชเป็นมาร์ติโน่ กลับจบฤดูกาลมือเปล่า
นั่นจึงเป็นเครื่องยืนยันว่าทีมนี้ไม่ใช่ว่าใครคุมแล้วจะได้แชมป์เสมอไป…
2. ก็แค่สืบทอดความสำเร็จเดิม
ฤดูกาล 2008-2009 ที่เป๊ปเข้ามาปีแรกนั้น ต้องเรียกว่าการรื้อทีมมากกว่าการสืบต่อทีมที่ประสบความสำเร็จ เขาเปลี่ยนทีมที่ตามหลังแชมป์ 18 คะแนน ให้กลายมาเป็นแชมป์ที่ทิ้งอันดับสองถึง 9 คะแนน
เขาขายสตาร์ดังของทีมในตอนนั้นอย่างโรนัลดิญโญ่ และเดโก้ รวมถึงแบ็คขวาชื่อดังอย่างซามบรอตต้า่ ออกไปจากทีมในราคาประมาณ 40 ล้านยูโร
เขานำเข้าเคราร์ด ปิเก้ มาด้วยราคา 5 ล้านยูโร ดานี่ อัลเวส 29 ล้านยูโร รวมถึงอเล็กซานเดอร์ เคล็บ 11 ล้านยูโร รวมถึงผลักดันเซร์คิโอ บุสเกตจากทีมเยาวชน ดันอันเดรียส อินิเอสต้า มาเป็นตัวหลักแทนเดโก้ ซึ่งพวกเขาก็เป็นกำลังสำคัญพาทีมยุคใหม่นี้ไล่ล่าแชมป์
3. เล่นเกมรุก ไม่สนใจเกมรับ
ผู้คนมักจะติดตาทีมของเป๊ปว่าเป็นทีมเกมรุกครองบอลเอาชนะคู่แข่ง โดยไม่สนใจเกมรับ แต่ความจริงแล้วสถิติกลับบอกตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ว่าการครองบอลของเขาคือเกมรับ
เป๊ปสืบทอดหัวใจของแผนการเล่นมาจากโยฮัน ครัฟฟ์ นักฟุตบอลและโค้ชชื่อดังชาวฮอลแลนด์ ว่าด้วยถ้าหากคุณไม่เสียบอลเลย คู่แข่งก็จะไม่มีทางยิงคุณได้เด็ดขาด นั่นแหละคือการเล่นเกมรับในแบบของเขา ที่อาจจะต่างจากในแบบหลายคนคิด อย่างเช่นการตั้งแผงรับไว้ 2 ชั้น ทำให้คู่แข่งเจาะไม่เข้า
ถ้าดูตามสถิติ ในลาลีกา ฤดูกาล 2010-2011 ทีมบาร์เซโลน่าเสียประตูเพียงแค่ 21 ลูก และแม้จะยิงได้เพียง 95 ประตูก็สามารถคว้าแชมป์ ปาดหน้าเรอัล มาดริดที่แม้จะยิงได้ 102 ประตู แต่ก็เสียไป 33 ลูก (โดยโค้ชที่ได้ชื่อว่าเกมรับดีที่สุดคนหนึ่งในโลกอย่างโจเซ่ มูริณโญ่)
ถัดมาฤดูกาล 2011-2012 แม้คราวนี้เรอัล มาดริด ที่แฟนๆ หลายคนบอกว่าเล่นแต่เกมรับจะคว้าแชมป์ แต่พวกเขาก็ยิงได้มากถึง 121 ประตู ต่างกับบาร์เซโลน่าที่ยิงเพียง 114 ประตู โดยที่บาร์เซโลน่าก็เสียประตูน้อยกว่าทีมแชมป์อยู่ 3 ลูก
ในยุคการคุมทีมบาเยิร์น มิวนิค เขาก็พาทีมจบฤดูกาล 2015-2016 ด้วยการเสียในลีกเพียง 17 ประตู น้อยที่สุดในรอบกว่า 30 ปี เสียน้อยกว่าตอนปี 2013 ที่ทีมเสือใต้คว้าแชมป์ทุกรายการอีกด้วย (จริงๆ อาจจะนานกว่านั้น แต่ผมขี้เกียจย้อนดูแล้วครับ แหะๆ)
4. คิดค้นติกิ-ตาก้า
นักข่าวสเปนหลายคนเรียกระบบฟุตบอลของเขาว่าติกิ-ตาก้า จนเป็นคำที่ติดไปเรียกกันทั่วโลก ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยบอกเล่าผ่านการให้สัมภาษณ์ในหนังสือว่าเขา “เกลียด” มัน เพราะมันคือการส่งบอลวนไปวนมาอย่างไร้จุดหมาย
เขาไม่ได้คิดค้นมัน นักข่าวต่างหากที่คิดค้นมัน ฟุตบอลของเขาไม่ใช่ติกิ-ตาก้า แต่คือการไม่เสียบอลให้คู่แข่ง และหากเสียบอลก็วิ่งไล่แย่งบอลกลับมาให้เร็วที่สุด จากนั้นก็ทำประตูให้ได้ตามรูปแบบฟุตบอลที่เขาเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กจนโตในสโมสรบาร์เซโลน่า จากอาจารย์คนสำคัญอย่างโยฮัน ครัฟฟท์ ที่เขาเรียกมันว่า “โททัล ฟุตบอล”
5. เล่นบอลกับพื้น ชอบกองหน้าตัวเล็ก
แม้การครองบอลและการส่งบอลคือหัวใจสำคัญของรูปแบบฟุตบอลของเขา จนคนติดตาว่าเขาจะชอบแต่ส่งบอลบนพื้นและชอบกองหน้าตัวเล็ก แต่ความจริงแล้วเขากลับชอบกองหน้าตัวใหญ่ ที่สามารถเล่นเข้ากับระบบมากกว่า
ความชอบนี้ส่วนตัวผมคิดว่าเขาสืบทอดมาจากโยฮัน ครัฟฟท์ ที่มีความชื่นชอบกองหน้าอย่างมาร์โก แวน บาสเท่น ยอดกองหน้าฮอลแลนด์เป็นพิเศษ
นั่นทำให้เขาตัดสินใจที่จะขายซามูเอล เอโต้ และดึงซลาตัน อิบราฮิโมวิช เข้ามาในฤดูกาลที่สองของการคุมทีม เพราะมีความเป็น Perfectionism จึงชอบอะไรที่สมบูรณ์แบบอย่างกองหน้าตัวใหญ่ เล่นบอลกับพื้นดี มีความเร็วพอประมาณ มีส่วนร่วมกับเกมได้ จ่ายบอลดี และสามารถยิงเองได้ ที่เรียกว่าครบเครื่องนั่นเอง
(แม้สุดท้ายจะจากกันแบบไม่ดีเท่าไร ฮ่าๆ)
6. ไม่มีแผนอื่นนอกจากเคาะบอลไปมา
ผู้คนจะบอกว่าเขาคือ “เป๊ปแผนเดียว” นั่นคือการไม่สามารถเจาะแนวรับในรูปแบบอื่นๆ นอกจากการเคาะบอลไปมาตามช่อง หรือไม่ก็ให้เมสซี่เลี้ยงแหวกไป นั่นคือการที่เขาพูดถึงการโยนบอลข้ามฝั่ง ออกปีกเปิดเข้ากลาง หรือกระทั่งการตั้งแนวรับแล้วสวนกลับเร็วอย่างที่เขาอยากเห็น
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าเขาเติบโตมากับฟุตบอลในแบบบาร์เซโลน่าและโยฮัน ครัฟฟท์ นั่นคือการเล่นเกมรุก ครองบอล และเอาบอลคืนมา เขาอยู่กับมันตั้งแต่เด็กจนโต คว้าทั้งแชมป์ลีกและแชมป์ยุโรปในสมัยเป็นนักเตะด้วยแผนการเล่นแบบนี้ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเขาจะชอบมันเป็นพิเศษ
แต่ในส่วนของแท็คติคอื่นๆ เขายังเคยปรับใช้ตั้งแต่การเล่นกองหลัง 4 ตัว 3 ตัว หรือกระทั่งกองหลังแค่ 2 ตัว รวมไปถึงแผนบอนโยนบอมบ์โดยการให้เคราร์ด ปิเก้ ไปยืนเป็นกองหน้าในกรณีที่ต้องการประตูจริงๆ หรือกระทั่งการเล่นลูกโด่งในสมัยคุมบาเยิร์น มิวนิค ที่มีกองหน้าตัวใหญ่และกองหลังตัวใหญ่(กว่า) ให้เลือกเป็นตัวเป้ามากมายอีกด้วย
7. เลือกคุมแต่ทีมใหญ่ๆ
ข้อนี้จะว่าเข้าใจผิดไหมก็ปฏิเสธไม่ได้ซะด้วย เพราะประวัติการคุมทีมของเขาก็มีแต่สโมสรยักษ์ใหญ่เช่น บาร์เซโลน่า บาเยิร์น มิวนิค และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่หากลองย้อนกลับไปพร้อมกับถามตัวเองว่า…
ตอนนั้นคุณเป็นโค้ชทีมเยาวชนบาร์เซโลน่า แล้วประธานสโมสรมาบอกให้คุณเลื่อนเป็นผู้จัดการทีมชุดใหญ่ คุณจะรับหรือปฏิเสธ!?
พอคุณออกจากบาร์เซโลน่า มีทีมยื่นข้อเสนอมาคือ บาเยิร์น มิวนิค พร้อมเงินเดือนแสนแพง ทีมสโต๊ก ซิตี้ กับเงินเดือนกลาง และทีมโรงเรียนโคกอีเกิ้ง มาให้คุมเด็กแบบการกุศล แต่บอกว่ามันคืองานท้าทาย ถ้าพาทีมโคกอีเกิ้งเป็นแชมป์ไทยลีกได้คุณจะเป็นตำนานเลยนะ… เป็นคุณจะเลือกทีมไหน!?
เพราะฉะนั้นข้อครหาที่ว่าเลือกคุมแต่ทีมใหญ่ คงจะปฏิเสธชัดเจนไม่ได้ เพราะหากเราทำอาชีพอะไร เราก็ย่อมต้องการไต่เต้าไปสู่บริษัทหรืองานที่ใหญ่ขึ้นพร้อมเงินที่มากกว่าเดิม ซึ่งก็คงจะมีแต่สโมสรใหญ่ยักษ์ที่สามารถยื่นให้เขาได้เท่านั้น…
8. เคยให้สัมภาษณ์ว่าอยากแพ้บ้าง
นี่คือสิ่งที่ผมเองพบเห็นได้จากสื่อไทยหลายแห่ง และอยากจะแก้ต่างให้เจ้าตัวมากที่สุด ซึ่งหลังจากตอนเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกในปี 2016 ที่พาทีมชนะ 6 นัดรวมในลีก มีการรายงานข่าวอันน่าหมั่นไส้ของเจ้าตัวว่า.. เป๊ปชื่นชมกับชัยชนะ และอยากจะลองแพ้ดูสักครั้งว่าเป็นยังไง!?
คำพูดดังกล่าวฟังดูน่าหมั่นไส้ไหมครับ.. โคตรๆ แต่แท้จริงแล้วเขาพูดแบบนั้นจริงหรือ
ที่จริงแล้วเป็นการสัมภาษณ์จากนักข่าวที่ถามถึงการชนะรวด 6 นัดแล้วจะชนะรัวๆ จนได้แชมป์เลยไหม เขากลับตอบไปว่า What the fuck!?
เพราะเขารู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ และบอกแทนไปว่า “สักวันหนึ่งเราก็ต้องแพ้ ทีมไม่สามารถชนะติดต่อกันได้ทุกนัด และอยากจะให้ทีมแพ้บ้าง เพราะมันคือการได้เห็นถึงข้อบกพร่องและแก้ไขมันเพื่อเป็นแชมป์ให้ได้”
9. คิดว่าตัวเองสุดยอดที่สุด
เขามักจะถูกหลายคนกล่าวหาว่าเย่อหยิ่ง คิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุด แต่นั่นกลับตรงข้ามกับนิสัยของเขาโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่สมัยเป็นนักฟุตบอลแล้ว เขาเป็นกัปตันของบาร์เซโลน่า และเป็นที่รักของแฟนบอลทุกคน จะว่าไปเขาก็ใหญ่คับสโมสรเหมือนกัน แต่เขากลับเลือกออกจากทีมในตอนท้ายเพื่อไปค้าแข้งต่อกับสโมสรเบรสชา เป็นไอ้สเปนในเมืองอิตาลีที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักเขางั้นหรือ
ดูเหมือนว่าเขาจะต้องการวางแผนตัวเองในการทำงานหลังเลิกเล่น คือการไปเรียนรู้ฟุตบอลในประเทศอื่นๆ เพื่อปรับใช้กับตอนเป็นโค้ช จนทำให้ระเห็ดไปถึงอิตาลี กาตาร์ และเม็กซิโก (รวมถึงการมาทดสอบฝีเท้าที่อังกฤษแต่ไม่ได้รับการเซ็นสัญญาด้วย)
ตอนเป็นโค้ช กับความสำเร็จระดับสูงกับทีมบาร์เซโลน่า เขาก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองสุดยอด แต่กลับรู้สึกว่าตัวเอง “ขาด” อะไรหลายอย่างและยังไม่เก่งพอ เขาตัดสินใจออกจากทีมในฤดูกาลที่ไม่ได้แชมป์ลีก ตัดสินใจไปเปิดประสบการณ์ใหม่กับทีมในประเทศอื่น เพื่อหวังว่าจะพัฒนาแผนการเล่นฟุตบอลที่เขารักให้สมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก
ปัจจุบันเขามาที่อังกฤษ และไม่ได้สัญญากับประธานสโมสรว่าจะพาแชมป์มาให้ ตรงกันข้ามเขามาเพื่อเรียนรู้เปิดกะลาให้ตัวเองมากขึ้น แต่เขาสัญญาอย่างหนึ่งว่าจะพัฒนาทีมไปข้างหน้าได้อย่างแน่นอน
เราคงต้องติดตามดูครับ ว่าเขาจะทำได้จริงๆ หรือไม่!? เขาจะกลายเป็นตำนานโค้ชอีกคนหรือเป็นแค่คนล้มเหลวที่คนพากันดูถูกต่อ เวลาจะให้คำตอบเราเอง…
***บทความเขียนอุทิศแก่โยฮัน ครัฟฟท์ อัจฉริยะผู้ล่วงลับและระบบโททัล ฟุตบอลอันสวยงาม อนุญาตให้คัดลอกและเผยแพร่ได้ในทุกแหล่งโดยอ้างอิงหรือไม่อ้างอิงที่มาก็ได้ เพื่อชี้แจงในความเข้าใจผิดบางประการของคนส่วนใหญ่ที่ยังมีอยู่ครับ***
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.