ชีวิตของ Elon Musk จากเด็กถูกแกล้งในโรงเรียน สู่ “โทนี่ สตาร์ค” ในโลกความเป็นจริง

Elon Musk ชายผู้ก้าวเข้าสู่วงการเทคโนโลยีอย่างยิ่งใหญ่ และกลายเป็นมหาเศรษฐีที่ลงทุนและคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง Hyperloop คนนี้ ถ้าเรามองดูดีๆ แล้วเราก็จะรู้สึกว่า นายคนนี้นี่แหละ “โทนี่ สตาร์ค” ตัวจริง!!

แต่เชื่อไหมว่าชีวิตในวัยเด็กของชายคนนี้กลับไม่ได้เริ่มต้นอย่างสวยงามนัก เพราะเขามีประวัติการถูกกลั้นแกล้งมากมายเลยทีเดียวล่ะ…

 

 

Elon เกิดในวัน 28 มิถุนายน 1971 ที่ประเทศแอฟฟริกาใต้ ซึ่งในวัยเด็กพ่อของเขาเคยบอกว่าเขาจะกลายเป็นนักคิดค้นที่เก่งกาจในอนาคต นอกจากนั้นชีวิตของเขายังใช้ไปกับการอ่านหนังสือในห้องสมุดเสียส่วนใหญ่ แทนที่จะไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ

ในช่วง 1979 Elon และพี่ชาย Kimbal ได้ย้ายไปอยู่กับพ่อของเขาหลังแม่และพ่อเลิกลาจากกันไป ชีวิตในวัยกำลังโตก็ดูเหมือนจะกำลังไปได้สวย และแววการเป็นนักธุรกิจเขาก็เริ่มเฉิดฉาย เมื่อเขาสามารถขายเกมที่ชื่อว่า Blastar ให้กับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นเกมเขาคิดค้นขึ้นมาเมื่อปี 1983 และขายไปได้ในราคาราว 16,000 บาท

 

 

ทว่าในช่วงที่เขาอยู่ในโรงเรียนก็มีการใช้ชีวิตที่ลำบากพอสมควร เพราะเขามักจะถูกกลั่นแกล้งอยู่เรื่อยๆ ถึงขั้นเคยตกบันไดจนสลบเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ สู้จนจบการศึกษาได้ในที่สุด และได้เขาศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยควีนส์ หลังจากย้ายมาอยู่กับแม่ของเขา

 

ภาพประกอบเฉยๆ นะจ๊ะ ไม่ใช่ Elon ตัวจริงนะ

 

แต่ว่าเขาไม่ได้จบมหาลัยดังกล่าว เพราะเขาเรียนแค่สองปีก็ย้ายไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย แทนและจบในสาขา Physics and Economics ไม่หมดเท่านั้น คนจะเป็นเศรษฐีมันก็มักจะบูมในช่วงมหาลัยนี่แหละ

Elon กับเพื่อนได้แอบเช่าบ้านพักแห่งหนึ่งเผื่อเปิดเป็นผับเล็กๆ นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักลงทุนของเขา และแน่นอนว่าเขาก็ไม่หยุดเท่านี้ เพราะเขายังได้เปิดธุรกิจอื่นอีกหลังจากไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้…เออ 2 วันเท่านั้น และเขาก็ไม่กลับไปเรียนอีกเลย

 

 

จากนั้นเขาและพี่ชายก็ได้เปิดธุรกิจ Zip 2 ด้วยกันและมีรายได้ดีเลยทีเดียว จนไม่นานนักตัวบริษัทก็ถูกซื้อไปโดย Compaq แต่เขาก็ไม่หยุดแค่นั้น เพราะเขาได้ร่วมหุ้นกับ Peter Thiel ก่อตั้ง Paypal ขึ้นมาพร้อมกับรับตำแหน่ง CEO

 

 

ชีวิตการเป็น CEO ของ Elon นั้นอยู่ได้ไม่นานเขาก็โดนดีดออกและให้คนอื่นมารับหน้าที่แทนด้วยผลที่เขาไปพักร้อนระยะยาวนั้นเอง (จริงๆ เขามีปากเสียงกับบอร์ดบริหารคนอื่นๆ มาสักพักแล้วด้วย)

แม้เขาจะโดนดีดออก แต่คนเทพๆ แบบเขาก็ได้แค่บอกว่าแล้วไงใครแคร์ เพราะแม้จะไม่ได้เป็น CEO แต่พี่แกก็ยังกินเงินในฐานะผู้ถือหุ้นได้สบายๆ ทำให้เขามีเวลาว่างพอสมควรและเขาก็ยังไม่หยุดคิดเรื่องไซไฟที่เขาชื่นชอบ

 

 

เขาได้ริเริ่มความคิดที่ว่าจะลองส่งหนูไปดาวอังคารเพื่อทดสอบอะไรหลายๆ อย่างดู ซึ่งเขาก็ได้ติดต่อซื้อกระสวยอวกาศโซเวียต แต่เขาบอกว่าพวกบ้านี่มันเรียกเงินแพงเกินไป เขาก็เลยคิดว่าตัวเองน่าจะสร้างได้ถูกกว่าพวกนั้นและคุณภาพดีกว่า

 

 

และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท SpaceX นั้นเอง แน่นอนความด้วยลูกบ้าของเขาทำให้ความสำเร็จของบริษัทไปได้ด้วยดีสุดๆ จากนั้นเขาก็เข้าไปร่วมลงทุนกับบริษัท Tesla และร่วมคิดค้นรถพลังงานไฟฟ้าขึ้นมา ตอนนี้แหละที่จังหวะชีวิตอันรุ่งโรจของพี่ Elon พุ่งอย่างไม่หยุดหยั่ง

 

 

แค่สองบริษัทใหญ่นั้นยังไม่พอ เขาได้ตั้งบริษัท SolarCity ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อสู้กับภาวะโลกร้อน แต่ว่าความรุ่งโรจน์ของพี่แกก็อยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่นัก

 

 

เพราะว่าตัวบริษัท Tesla เริ่มที่จะขาดทุนจนต้องกู้หนี้ยืมสินมากมาย และพอกพูนมาเรื่อยๆ ทำให้ Elon เผยว่าในปี 2008 มันเป็นปีที่แย่ที่สุดของเขาก็ว่าได้ เพราะทุกอย่างเป็นไปได้ยากลำบากมากๆ จนเขาต้องใช้เงินก้อนสุดท้ายของตัวเองมายื้อชีวิตบริษัททั้งหมดไว้

 

 

แต่ในช่วงเวลาอันมืดมือพี่แกก็มีแสงสว่างที่มาช่วยชีวิตเขาไว้ นั้นก็คือภรรยาของเขาและภายหลังก็ได้มีลูกด้วยกันถึง 6 คน เชร่ดดด

 

 

เรื่องแย่ๆ ผ่านไป ชีวิตเขาก็เริ่มกลับมาดีขึ้นตามลำดับ บริษัทมากมายเริ่มเห็นผลงานและช่วยลงทุนกับบริษัทต่างๆ ของเขา จนทำให้เขาริเริ่มไอเดียเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกมากมายในภายหลังทั้งระบบรถไร้คบขับ หรือ Hyperloop ก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

 

สุดท้ายแล้วเรื่องที่ยืนยันว่าเขาคือ โทนี่ สตาร์ค ในโลกแห่งความจริงนั้น ก็ไม่ได้โม้แต่อย่างใด เพราะเขาได้ไปแจมกับโทนี่สตาร์คในโลกของมาร์เวลด้วย ซึ่งเป็นฉากหนึ่งใน Iron man 2 นั่นเอง

 

 

พี่แกอาจจะไม่บูมในไทย แต่ระดับโลกพี่เขาเทพซ่าพอๆ กับมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก หรือสตีฟ จอบส์เลยล่ะ แล้ว #เหมียวมู่ทู่ ฟันธงเลยว่าอิตาคนนี้แหละจะคิดค้นอะไรเจ๋งๆ ในอนาคตอีกมากมายเลย…

 

ที่มา businessinsider

Comments

Leave a Reply