นักวิทย์เผย ใน “ฟองน้ำล้างจาน” มีเซลล์เชื้อแบคทีเรียมากกว่า 54,000 ล้านเซลล์!!

เวลาล้างจานแล้วไม่มีฟองน้ำล้างจานเราจะรู้สึกเหมือนมันไม่สะอาดยังไงก็ไม่รู้ ดังนั้นทุกครั้งที่ล้างจานเราจึงต้องใช้ฟองน้ำอยู่เสมอ

แล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าใช้ฟองน้ำแล้วจากจะสะอาดจริงๆ? จากการวิจัยพบว่าในฟองน้ำ 1 ชิ้น มีเซลล์เชื้อแบคทีเรียมากกว่า 54,000 ล้านเซลล์

 

 

หลังจากทำการวิเคราะห์ตัวอย่าง DNA จากฟองน้ำที่แตกต่างกัน 14 ชิ้น นักวิจัยพบว่าในฟองน้ำมีชนิดของแบคทีเรียที่เรียกว่า Gammaproteobacteria รวมทั้งแบคทีเรียที่พบในมนุษย์ซึ่งเป็นตัวที่ก่อให้เกิดไข้ไทฟอยด์ อหิวาตกโรคและโรคอาหารเป็นพิษ

การวิจัยดังกล่าวนี้ดำเนินการโดยนักวิจัยจากประเทศเยอรมนี พบว่า ฟองน้ำล้างจานเป็นแหล่งรวบรวมและแพร่เชื้อแบคทีเรียที่สามารถทำให้เกิดโรคได้

 

 

ทั้งนี้เป็นเพราะว่าฟองน้ำล้างจานมีรูพรุนที่สามารถกับเก็บน้ำได้ มันจึงกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะที่เหมาะสำหรับการก่อตัวของจุลินทรีย์

นอกจากนี้นักวิจัยยังพบว่า ในฟองน้ำล้างจานขนาดเท่าก้อนน้ำตาลจะมีเซลล์เชื้อแบคทีเรียมากสูงสุดถึง 54,000 ล้านเซลล์

 

 

ด้วยเหตุนี้ห้องครัวจึงสกปรกมากกว่าห้องน้ำซะอีก โดยมีฟองน้ำล้างจานนี่แหละที่เป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียที่ใหญ่ที่สุด

ฟองน้ำล้างจานไม่เพียงแต่เป็นแหล่งก่อตัวของจุลินทรีย์ แต่ยังส่งผลให้มีแบคทีเรียปนเปื้อนในอาหารได้ จนกลายเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคที่มาจากอาหาร

ทั้งนี้การวิจัยก่อนหน้านี้พบว่า ไม่มีวิธีทำความสะอาดฟ้องน้ำล้างได้อย่างสะอาดหมดจน แม้กระทั่งการเอาฟองน้ำไปต้มในไมโครเวฟก็ลดแบคทีเรียได้แค่ 60% เท่านั้น

 

 

 

ในการสังเกตนั้น นักวิจัยใช้กล้องจุลทรรศน์เพื่อส่องดูฟองน้ำล้างจานในระยะใกล้ พบว่า ฟองน้ำที่ผ่านการฆ่าเชื้อเป็นประจำ ไม่ได้มีแบคทีเรียน้อยไปกว่าฟองน้ำที่ไม่ได้ทำความสะอาดเลย

นั่นหมายความว่าฟองน้ำที่ผ่านการใช้งานแล้วจะกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียทันที ดังนั้นนักวิจัยจึงแนะนำว่าไม่ควรใช้ฟองน้ำซ้ำ แต่เราควรจะเปลี่ยนฟองน้ำทุกครั้งที่ล้างจาน เพื่อป้องกันแบคทีเรียปนเปื้อนในอาหาร

 

 

สิ่งที่เราคิดว่าสะอาดที่สุดกลับเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียที่น่ากลัวซะงั้น

ที่มา dailymail

Comments

Leave a Reply