ไอ้หนุ่มหลอดไฟ ผู้ที่ทนต่อ “กระแสไฟฟ้า” และยังสามารถกินมันเป็นอาหารได้อีกด้วย

ไฟช็อตหรือไฟดูดนั้นหลายคนคงได้เคยสัมผัสกับความรู้สึกเหล่านั้นมาบ้างแล้ว ความรู้สึกแปล๊บๆ ที่เกิดขึ้นทำให้เราอาจกลัวที่จะเกิดขึ้นอีกจึงต้องระวังพวกสายไฟโน่นนี่นั่น แต่สำหรับชายคนนี้แล้วตรงกันข้ามเลย เพราะนอกจากเขาจะไม่มีอาการเหล่านั้นแล้ว มันก็ยังมีสิ่งที่คนปกติทำไม่ได้อีกด้วย

หนุ่มวัย 42 ปีที่มีชื่อว่า Naresh Kumar อาศัยอยู่ในเมืองมุซซาฟฟาร์นากา ทางตอนเหนือของอินเดีย ได้บอกกับทุกคนว่าเขามีพลังพิเศษที่ไม่ใช่แค่ความสามารถทนทานต่อไฟฟ้าแรงสูง แต่เขายังสามารถกินมันเป็นอาหารโดยที่ไม่ต้องกินอาหารตามปกติเหมือนคนอื่นๆ

 

 

พลังที่ว่านั้นเขารู้ได้จากความบังเอิญที่เกิดขึ้นตอนที่เขาพลาดไปจับสายไฟในตอนที่กำลังทำงานอยู่ แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย ทำให้หลายคนคิดว่าเขาโชคดีแล้วจริงๆ และบอกให้ระวังด้วยครั้งหน้า แต่ตัวเขาเองกลับไม่คิดเช่นนั้น

เขาเลือกที่จะศึกษาพลังที่เขามีอยู่ไปเรื่อยๆ โดยการไปจับสายไฟเปล่าเปลือยอีกทั้งยังเชื่ออีกว่าตัวเขาสามารถนำไฟฟ้ามาเป็นอาหาร

“เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมรู้สึกหิวในตอนที่ไม่มีอาหารให้กิน ผมก็จะอมสายไฟเปลือยเอาไว้ประมาณครี่งชั่วโมงก็จะทำให้รู้สึกอิ่ม นั่นคือผมสามารถกินไฟฟ้าเป็นอาหารได้” เขากล่าว

 

 

เขายังเสริมอีกว่า “ผมยังสามารถจับเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ด้วยมือเปล่าของผมเช่น ทีวีหรือตู้เย็น โดยที่ไม่เป็นอะไรแต่นั่นกลับเหมือนเป็นการรับพลังงานทำให้ตอนนี้ผมคิดว่า  80 เปอร์เซ็นต์ในร่างกายของผมตอนนี้มันคือไฟฟ้า”

ในบ้านของเขานั้นเต็มไปด้วยสายไฟเปลือยต่างๆ มากมายที่ทำให้เขาสามารถเพลิดเพลินไปกับอาหารสุดพิเศษที่เขาต้องการ จากการที่ไม่มีสวิตช์เปิดปิด นั่นจึงเป็นหน้าที่หลักของเขาเวลาอยู่บ้านที่จะคอยเปิดปิดไฟให้ภรรยาและลูกๆ ของเขาไม่ให้พวกเธอต้องถูกไฟช็อต

แม้ว่าความพิเศษของเขาจะไม่ได้ทำให้ภรรยารู้สึกประทับใจเลย แต่สำหรับคนอื่นๆ ที่ได้เห็นความสามารถนี้ผ่านโซเชียลมีเดียนั้นก็ต่างพากันตั้งฉายาเก๋ๆ ให้เขาว่า “หลอดไฟที่มีชีวิตแห่งอินเดีย”

 

คลิปวิดีโอโชว์การอมสายไฟและกินเป็นอาหาร

 

นี่ไม่ใช่คนแรกที่สามารถต้านทานกระแสไฟฟ้าความแรงสูงได้ ก่อนหน้านี้ยังมีผู้ที่ได้รับฉายาอย่าง มนุษย์แบตเตอรี่ หรือมนุษย์ไฟฟ้าอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็คือคนแรกที่บอกว่ากินไฟฟ้าเป็นอาหารได้

แน่นอนว่านี่จะไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ใครก็สามารถทำได้ เพราะงั้นเราก็อย่าเอาไปลองเล่นกันเองนะครับ มันอันตราย

 

ที่มา: odditycentral

Comments

Leave a Reply