โรค Cerebral Palsy หรือที่เราเรียกกันว่า โรคสมองพิการนั้น ถือเป็นโรคที่สามารถส่งผลต่อพัฒนาการ การพูดการคิดและการเดินของคนๆ นั้นไปได้ตลอดชีวิต ถ้าไม่มีการรักษาตั้งแต่ต้น และคนส่วนใหญ่ก็อาจจะยอมแพ้ไป…
แต่สำหรับ Wesley Wee ชายวัย 36 ปี จากประเทศสิงคโปร์คนนี้ เขาไม่ยอมแพ้ต่อมันและยังพยายามสู้กับมันจนถึงปัจจุบัน เพราะแม้ว่าเขาจะไม่สามารถขยับร่างกายได้ทุกส่วน การพูดก็ไม่ค่อยดี และยังต้องนั่งวิลแชร์ตั้งแต่จำความได้
ยังไงก้ตาม แม้ Wesley จะป่วยและมีอาการดังกล่าว เขาก็ยังพยายามใช้ชีวิตในส่วนของตัวเองต่อไป โดยเขาได้เล่าว่า ตอนที่เขาเกิดมาเขาก็ป่วยเป็นแบบนี้แล้ว ซึ่งพ่อและแม่ของเขาก็ไม่ค่อยจะแฮปปี้กับตัวเขาสักเท่าไหร่
เขาบอกว่าแม่พูดกับเขาบ่อยๆ ว่าเขามันไม่มีประโยชน์อะไร เกิดมาก็เดินไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ มันจะดีถ้าเขาตายๆ ไปซะ ส่วนพ่อก็บังคับให้เขาออกกำลังยากๆ ในตอนกลางคืนบ่อยๆ เพื่อที่จะให้เขาสามารถเดินได้เหมือนคนปกติ แน่นอนว่าฟังดูแล้วมันเป็นไปได้ยากสำหรับคนที่ป่วยแบบนี้และสภาพจิตใจแย่ๆ เช่นนี้
นอกจากเรื่องที่เขาเล่า เขาก็ยังถูกพ่อแม่กระทำไม่ดีสารพัด ทั้งจับกดถังน้ำ ถังทุบตีและอื่นๆ มากมาย แต่ในความมืดก็มีแสงเล็กๆ อยู่เสมอ ซึ่งสำหรับ Wesley แล้วแสงนั้นก้คือคุณย่า ที่เข้าใจถึงอาการป่วยของเขาและพาเขาออกมาเลี้ยงแทน ที่สำคัญยังส่งเขาไปเรียนหนังสือที่ Spastic Children’s Association แน่นอนว่าพ่อแม่คิดว่ามันไร้ค่า
ยังไงก็ตามความสุขนั้นมักจะอยู่กับคนเราไม่นานเสมอ Wesley ต้องเจอกับสถานณ์การที่ไม่ดีจนทำให้เขากลับไปอยู่กับพ่อแม่อีกครั้ง และเขาก็กลับเข้าสู่ลูปเดิมในการบังคับให้เขาเดิม แต่ผลครั้งนี้มันกลับร้ายแรงกว่าเดิม จากเดิมที่พอจะเดินได้ อาการของเขาหนักขึ้นจนตอนนี้เขาเดินไม่ได้อย่างถาวร…
เขาบอกว่าเขาเคยคิดจะฆ่าตัวตายมาแล้วถึง 4 ครั้ง เพราะเขาเริ่มที่จะยอมแพ้ต่อชีวิต แต่วันหนึ่งเหมือนแสงแห่งความหวังก็สาดส่องมาที่ Wesley เขาก็เปลี่นความคิดของตัวเองทันที
เขาสู้ชีวิตโดยการออกไปขายทิชชู่ ซึ่งเขาบอกว่าเขาจะไม่มีเงินถ้าไม่ทำงาน ฉะนั้นเขาต้องทำงานเพื่อมีชีวิต เวลาผ่านไปเขาได้เจอกับแฟนสาวผ่านโลกออนไลน์ และทั้งคู่ก็จริงใจต่อกันแม้ Wesley จะเป็นแบบนี้ โดยแฟนสาวได้ตัดสินใจย้ายจากฟิลิปปินส์มาอยู่กับเขาที่สิงคโปร์ พร้อมกับแต่งงานกันเมื่อ 5 ปีก่อน
จากการแต่งงานกับแฟนสาว มันก็ยิ่งทำให้เขามีกำลังใจในการใช้ชีวิตที่มากขึ้นๆ ชีวิตเขาก็ดีขึ้นตามลำดับ จนเขารู้สึกว่าการไม่ยอมแพ้และพยายามสู้ต่อไปของเขามันน่าจะเป็นกำลังใจให้คนอื่นได้ เขาจึงริเริ่มที่จะเขียนหนังสือของเขาขึ้นมา
แน่นอนว่าด้วยโรคที่เป็นอยู่ เขาจึงทำได้แค่การเขียนด้วยนิ้วโป้งเท้าเท่านั้น มันจึงลำบากพอสมควร แต่เขาก็พยายามอย่างยาวนานถึง 5 ปีจนหนังสือของเขาเสร็จสมบูรณ์ และออกมาเป็นหนังสือที่ชื่อว่า Finding Happiness Against the Odds
สุดท้ายเขาบอกว่า “ผมอยากจะบอกเล่าเรื่องราวของผมให้คนอื่นได้ฟังว่ามันยากลำบากแค่ไหน และอยากจะให้พวกเขาที่มีครบและสมบูรณ์ไม่ยอมแพ้ต่อชีวิตหรือทิ้งความหวังไป ถ้าไม่เชื่อก็ดูตัวผมเป็นตัวอย่างก็ได้ เพราะถ้าผมยอมแพ้ผมก็ไม่มาอยู่ตรงนี้อย่างแน่นอน”
ที่มา odditycentral
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.