ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็มีบัญชีเฟสบุ๊กเป็นของตัวเอง เพราะด้วยจุดประสงค์การเริ่มต้นที่มีไว้ใช้ทำการติดต่อเพื่อนๆ คนรู้จักได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และกลายเป็นแหล่งรวมความบันเทิงน้อยใหญ่อีกเพียบ
และเมื่อพูดถึงเฟสบุ๊กแล้ว จะไม่กล่าวถึง Mark Zuckerberg คงเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเขาคือผู้ก่อตั้งและประสบความสำเร็จอย่างมาก จนกลายเป็นผู้มีอิทธิคนหนึ่งของโลกในปัจจุบันไปแล้ว
ปัจจุบัน เฟสบุ๊กมีมูลค่าประมาณ 16.560 ล้านล้านบาท และมีผู้ลงชื่อเข้าใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คนี้มากกว่า 2 พันล้านคนในทุกๆ เดือน
แน่นอนว่าความสำเร็จนี้คงไม่ได้มาง่ายๆ เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาย้อนดูกันหน่อยว่าตั้งแต่เฟสบุ๊กก่อตั้งครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2004 จนถึงวันนี้ เป็นยังไงบ้าง?
เฟสบุ๊กได้กำเนิดขึ้นที่หอพัก Kirkland House ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นหอพักเดียวกันกับ Wallace Shawn ผู้ให้เสียง Rex ในเรื่อง Toy Story ในตอนที่เขายังเรียนอยู่ที่ฮาร์วาร์ด
Mark Zuckerberg ได้เข้ามาเรียนที่ฮาร์วาร์ดในปี 2002 และต่อมาในปี 2003 ในขณะที่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 เขาก็ได้สร้างเว็บไซต์หนึ่งขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า Facemash
Facemash เป็นเว็บไซต์แบบ Hot or Not หรือเว็บไซต์แนวหาคู่ที่จะให้ผู้ใช้เว็บไซต์เข้ามาให้คะแนนรูปภาพของบุคคลที่อัพโหลดเข้าไป
สำหรับ Zuckerberg เขาก็ใช้รูปของเพื่อนที่แฮ็กมาจากไฟล์ประวัตินักศึกษาของหอพักมหาวิทยาลัย โดยมีหน้าเว็บประมาณ 22,000 หน้าถูกเปิดโดย 450 คน ภายใน 4 ชั่วโมงแรกที่เปิดใช้งาน
ไม่กี่วันต่อมา ทางฮาร์วาร์ดก็ได้สั่งให้เขาถอดถอนเว็บไซต์ดังกล่าวออก โดยอ้างว่ามีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์และความปลอดภัย ส่งผลให้ Zuckerberg ถูกทางมหาวิทยาลัยลงโทษทางวินัย แต่โชคดีที่เขายังสามารถไปเรียนได้ตามปกติ
แม้ Facemash จะโดนสั่งปิด แต่ Zuckerberg ยังไม่ยอมแพ้ที่จะทำเว็บไซต์ จนในที่สุดเขาก็เปิดตัว “Thefacebook” ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ปี 2004
หลังจากเปิดตัวได้สามวัน รุ่นพี่อาวุโสฮาร์วาร์ด 3 คน ก็ได้ทำการกล่าวหาว่า Zuckerberg ไม่ยอมรับข้อตกในการสร้างเว็บไซต์สำหรับพวกเขาทั้ง 3 โดยการนำไอเดียเหล่านั้นมาต่อยอดจนกลายมาเป็น Facebook
Cameron กับ Tyler Winklevoss และ Divya Narendra ได้อ้างว่าพวกเขาได้ทำข้อตกลงกับ Zuckerberg โดยที่ให้เขาสร้างเว็บไซต์ที่ชื่อว่า HarvardConnection.com ให้ ก่อนที่จะทิ้งงานสร้างเว็บไซต์นั้นเพื่อมาสร้างเป็นของตัวเองแทน… จนในที่สุดพวกเขาก็ได้ยื่นคำฟ้องร้องนี้ในปี 2008
ส่วนหนึ่งขอข้อตกลงดังกล่าว พวกเขาจะได้รับหุ้นส่วนบนเฟสบุ๊กเป็นจำนวน 1,200,000 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 9,900 ล้านบาท (จะได้ก็ต่อเมื่อเฟสบุ๊กขายหุ้น)
และหลังจากที่ Thefacebook เปิดตัวมาได้ 1 เดือน นักศึกษากว่าครึ่งของฮาร์วาร์ดได้เข้าเป็นสมาชิกของ Thefacebook เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ต่อมาในเดือนมีนาคม ปี 2004 Thefacebook ได้ขยายเครือข่ายไปยังมหาวิทยาลัย Yale, Columbia และ Stanford
ขณะเดียวกัน Zuckerberg ก็ได้ชักชวนเพื่อนนักศึกษาฮาร์วาร์ดมาร่วมงานกับเขา ประกอบไปด้วย Dustin Moskovitz, Eduardo Saverin, Andrew McCollum และ Chris Hughes ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง เพื่อทำให้เว็บไซต์เติบโตและกลายเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้
เพียงแค่ไม่กี่เดือนหลังจากที่เว็บไซต์ได้เปิดตัว ทีมงานเฟสบุ๊กก็ได้เพิ่มพื้นที่สำหรับลงโฆษณา เป็นครั้งแรก และไม่น่าเชื่อว่าการโฆษณาผ่านเฟสบุ๊กนั้นได้เติบโตขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
ตอนนั้น Zuckerberg ยังคงดำเนินการทำเฟสบุ๊กในหอพักของมหาวิทยาลัย แต่ต่อมาเขาคิดขึ้นได้ว่าถึงเวลาที่ต้องจริงจังสักที
ดังนั้นในปี 2004 Zuckerberg จึงตัดสินใจลาออกจากฮาร์วาร์ด เช่นเดียวกับ Bill Gates ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ที่เคยกระทำเช่นเดียวกันมาแล้ว
ช่วงกลางปี 2004 Zuckerberg ได้ว่าจ้าง Sean Parker ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Napster ให้เป็นประธานบริหารคนแรกของ Facebook
เดือนมิถุนายน ปี 2004 ได้ก่อตั้งออฟฟิศขนาดเล็กในเมือง Palo Alto รัฐแคลิฟอร์เนีย หลังจากบริษัทนี้ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทางทีมงานก็เริ่มจริงจังกับงานมากขึ้นเช่นกัน
ส่วนภาพนี้ถ่ายจาก “Now Entering: a Millennial Generation” ซึ่งเป็นสารคดีปี 2008
เห็นประตูกระจกหมายเลข 471 มั้ย? เปิดเข้าไปข้างในจะเป็นสำนักแห่งแรกของเฟสบุ๊ก จะเห็นได้ว่าแม้จะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำตัวหรูหราแต่อย่างใด
Mark Zuckerberg และทีมงานมักจะดื่มเบียร์ชิลๆ ในออฟฟิศ ด้วยชุดธรรมดา และกางเกงขาสั้นอย่างที่เห็น
บรรยาการทำงานแบบเป็นกันเอง และพวกเขาก็ชอบดื่มเบียร์มาก ในภาพที่เห็นนี้หนึ่งในทีมงานเฟสบุ๊กกำลังเติมเบียร์ ในขณะที่ Andrew McCollum กำลังสวีทกับเพื่อนสาว
ส่วนหนึ่งของผนังออฟฟิศ
ภายในเดือนเดียวกับที่ย้ายสำนักงานไปอยู่ในเมือง Palo Alto ทาง Facebook ก็ได้รับเงินลงทุนจากองค์กรภายนอกเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นลงทุนจำนวน 16,530,000 บาท จาก Peter Thiel (คนซ้าย) และ Elon Musk (คนขวา) สองผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal
โดยนับตั้งแต่นั้นมา Thiel ก็กลายเป็นนักลงทุนหลักของเฟสบุ๊ก ส่วน Musk ได้ร่วมลงทุนกับ Tesla และ SpaceX
จนในที่สุด เฟสบุ๊กก็มาถึงจุดที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด พวกเขากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2005 เฟสบุ๊กมีสามารถเพิ่มเงินทุนบริษัทขึ้นมาได้มากุถึง 453 ล้านบาท และต่อมาในปี 2006 พวกเขาก็ได้สร้างหน้าฟีดข่าวขึ้นมา (News Feed) ซึ่งเปิดให้สมาชิกเฟสบุ๊กเห็นว่าคนอื่นๆ กำลังทำอะไรอยู่ ณ เวลานั้นๆ
ปลายปี 2007 Zuckerberg ได้พบกับผู้บริหารของ Google ที่ชื่อว่า Sheryl Sandberg ในระหว่างงานเลี้ยงวันคริสต์มาส
ซึ่งในตอนนั้น เธอกำลังอยู่ในช่วงพิจารณาเข้ารับตำแหน่งใหม่กับ The Washington Post แต่หลังที่ได้พูดคุยกับเธอแล้ว Zuckerberg ก็คิดขึ้นได้ว่าเฟสบุ๊กจำเป็นต้องมีหัวหน้าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ เขาจึงพยายามโน้มให้เธอมาร่วมงานด้วย จนเธอยอมตอบตกลงในช่วงต้นปี 2008
และนั่นก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่มาถูกทาง เพราะมันทำให้เฟสบุ๊กเติบโตขึ้นไปอีกอย่างรวดเร็ว และยิ่งช่วงนั้นมีสมาร์ทโฟนเข้ามา จำนวนผู้ใช้เฟสบุ๊กก็มากขึ้นด้วย
ในปี 2009 เฟสบุ๊กได้ย้ายสำนักงานไปอยู่ที่ Stanford Research Park ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าที่เดิม
และการย้ายสำนักงานมายังที่แห่งใหม่นี้ ก็ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตไปอีกระดับหนึ่งด้วย จนปลายปี 2010 มียอดผู้เข้ามาเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์เฟสบุ๊กเป็นจำนวนหลักล้านล้านครั้งต่อเดือน
แต่เฟสบุ๊กตั้งสำนักอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน เพราะปี 2011 พวกเขาก็ย้ายที่ทำงานกันอีกครั้ง โดยย้ายไปพื้นที่เคยถูกครอบครองโดยบริษัท Sun Microsystems ก่อนจะถูกบริษัท Oracle เข้าควบคุมกิจการ
และตอนนั้นเอง เฟสบุ๊กไม่ได้เป็นแค่เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ให้ความบันเทิง แต่มันยังมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย…
มีการใช้เฟสบุ๊กในการก่อการจลาจลของชาวอียิปต์ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011 โดยมีการหาแนวร่วมผ่านเฟสบุ๊กรวมทั้งเครือข่ายโซเชียลอื่นๆ ด้วย
ในขณะเดียวกับ Zuckerberg เองก็ได้รับความสนใจในวงการการเมืองด้วยเช่นกัน โดยบทบาทแรกทางการเมืองของเขาคือ การเข้าพูดคุยกับผู้นำโลกในการสนับสนุนและการเผยแพร่ข้อมูล ที่ทำให้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงได้
นอกจากนี้เฟสบุ๊กยังสนับสนุนความหลากหลายทางเพศ และส่งเสริมให้ทุกเพศมีสิทธิเท่าเทียมกัน
ปัจจุบันเฟสบุ๊กกลายเป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างไม่สามารถหยุดยั้งได้ ส่งผลให้เดือนพฤษภาคม ปี 2012 เฟสบุ๊กมีมูลค่า 165 พันล้านบาท!!
ในปีเดียวกันนั้น เฟสบุ๊กได้ให้ Little Red Book กับพนักงานทุกคน ซึ่งเป็นสมุดเล่มเล็กที่ให้กำลังใจกับทีมงาน โดยให้คำมั่นสัญญาว่า ไม่ว่าบริษัทจะเติบโตและประสบความเร็จมากแค่ไหน พวกเขาก็ยังเป็นทีมเดียวกัน อยู่ด้วยกันและไม่แยกจากกัน
หลังจากวันที่เฟสบุ๊กมีการเสนอขายหุ้น Zuckerberg ก็พบว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะแต่งงาน เขาได้แต่งงานกับ Priscilla Chan แฟนสาวที่คบกันมานาน โดยที่ทั้งคู่พบกันที่ฮาร์วาร์ด
ในช่วยหลายปีที่ผ่านมา เฟสบุ๊กก็ได้มีการร่วมงานกับสื่อสังคมขนาดใหญ่ หนึ่งในนั้นคืออินสตาแกรม ที่สามารถแชร์รูปภาพมายังเฟสบุ๊กได้ด้วยในเวลาเดียวกัน
ทั้งนี้ปี 2012 เฟสบุ๊กได้ซื้ออินตาแกรมในราคา 33 พันล้านบาท จนตอนนี้มีการแชร์รูปภาพผ่านอินสตาแกรมมากกว่า 400 ล้านยูเซอร์
ขณะที่เฟสบุ๊กเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นี้ ก็มีกลุ่มคนที่อิจฉาหรือไม่พอใจด้วยเหตุผลอื่น ได้ขู่จะทำลายเฟสบุ๊กหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จ
นอกจากนี้ในเดือนมีนาคม ปี 2014 ก็ได้เข้าซื้อกิจการ Oculus เพื่อเสริมความแกร่งให้กับเฟสบุ๊ก ในราคา 66 พันล้านบาท
นอกจากนั้นก็ยังเข้าซื้อกิจการของบริษัท WhatsApp ด้วยมูลค่า 630 พันล้านบาท ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 โดยในช่วงนั้นก็มีผู้ใช้งานแอพฯ กว่า 1 พันล้านคนต่อวัน
ในช่วงเวลาครบรอบ 10 ปี ของเฟสบุ๊กในปี 2014 ผู้เข้าใช้เฟสบุ๊ก 1.23 พันล้านคนต่อเดือน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเข้าผ่านสมาร์ทโฟน และแม้โลกจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง เฟสบุ๊กก็ยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
และเพื่อรับมือกับการเติบโตที่ไม่สิ้นสุดนี้ เฟสบุ๊กจึงจำเป็นต้องย้ายสำนักงานอีกครั้ง เดือนมีนาคม ปี 2015 เฟสบุ๊กได้เปิดสำนักงานใหม่ที่ Menlo Park รัฐแคลิฟอร์เนีย
สำนักแห่งใหม่นี้ออกแบบโดยสถาปนิก Frank Gehry ซึ่งรองรับพนักงานได้มากกว่า 2,800 คน
ถึงอย่างนั้น Zuckerberg ก็ยังไม่หยุดพัฒนาเฟสบุ๊ก เขายังมีความตั้งใจที่จะทำให้เฟสบุ๊กกลายเป็นแหล่งที่เชื่อมต่อของผู้คนทั่วโลก
และในฐานะผู้ก่อตั้ง เขามักพูดเสมอว่า “เราไม่ได้ก่อตั้งบริการเหล่านี้เพื่อสร้างรายได้ แต่เราสร้างรายได้เพื่อให้บริการที่ดีต่างหาก”
ในเดือนธันวาคมปี 2015 Zuckerberg พร้อมภรรยา ได้ก่อตั้ง Chan Zuckerberg Initiative ซึ่งเป็นบริษัทเขาวางแผนที่จะบริจาคเงิน 99% ให้กับหน่วยงาน เพื่อนำไปสู่การลงทุนที่จะทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงทั่วโลก
และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อบริษัทใหม่หรือมีการลงทุนใหม่ๆ เขาก็ยังยืนยันที่จะเป็นเสาหลักให้กับเฟสบุ๊กและคอยควบคุมดูแลให้ดีที่สุด เพื่อทุกคนบนโลกนี้
ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรกับบริษัท เขาก็ยังคงอยู่คอยดูแลบริษัทที่มีจุดเริ่มต้นเล็กๆ ภายในหอของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมาจนถึงทุกวันนี้
ที่มา businessinsider
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.