สำหรับนักดนตรีแล้วคงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์ ‘Fender’ ซึ่งถ้าว่ากันด้วยเรื่องของเนื้อเสียงแล้ว นับว่าเป็นอีกแบรนด์ที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างลงตัวมากที่สุด
แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเบื้องหลังของ Leo Fender ชายผู้สร้างงานศิลปะเป็นกีต้าร์ที่ต่อมาได้รับความนิยมสูงที่สุด กลับเล่นกีต้าร์ไม่เป็นเลยแม้แต่นิดเดียว..!?
เอาเป็นว่าเรารู้จักกับเรื่องราวของเขาพร้อมๆ กันเลย
จริงอยู่ที่ Fender ไม่ใช่บริษัทผลิตกีต้าร์ตัวแรกของโลก หากแต่เป็นบริษัทที่เขามาพลิกโฉมวงการดนตรีนับตั้งแต่เปิดตัวกีต้าร์รุ่น Fender Telecaster ในปี 1951
แม้ว่าจะมีบริษัทกีต้าร์ยักษ์ใหญ่มากมายคุมตลาดอยู่แล้วในช่วง 20 ปีก่อนที่จะประสบความสำเร็จ แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความใฝ่ฝันของเขาได้
ย้อนกลับไปตอนอายุ 13 ปี เฟนเดอร์ได้รับกล่องเศษซากชิ้นส่วนวิทยุที่ใช้งานไม่ได้แล้ว พร้อมกับแบตเตอรี่อีกหนึ่งก้อนที่คุณลุงให้มา
จากนั้นเขาก็รู้ตัวทันทีว่าตนเองหลงใหลในกลไกการทำงานของสิ่งเหล่านี้มากขนาดไหน จนไม่กี่ปีต่อมาเขาก็ได้เริ่มธุรกิจเล็กๆ ครั้งแรกในชีวิต… การเป็นพนักงานรับซ่อมวิทยุให้เพื่อนบ้านในละแวกนั้น
ในช่วงปี 1928 เป็นช่วงเดียวกับที่ Leo Fender เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ก่อนจะเข้าไปศึกษาต่อในระดับชั้นมหาวิทยาลัยในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์บัญชี แต่ในระหว่างเรียนเขาก็ไม่ลืมที่จะศึกษาระบบวงจรไฟฟ้าใหม่ๆ อยู่เสมอ
จนวันหนึ่งงานแรกสุดในชีวิตที่เกี่ยวกับเครื่องเสียงก็ได้เริ่มขึ้น เขาได้รับการจ้างวานจากเพื่อนให้ช่วยติดตั้งเครื่องกระจายเสียงภายในงานคอนเสิร์ต ซึ่งอันที่จริงตอนนั้นเขายังรับงานประจำเป็นพนักงานขับรถส่งของอยู่
หลังเรียนจบเขาใช้ชีวิตระหกระเหินไปเรื่อยๆ เหมือนเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังแสวงหาความหมายของชีวิตในยุคนั้น เขาเข้าออกการเป็นพนักงานประจำเป็นว่าเล่น ก่อนจะแต่งงานกับ Esther Klosky ในปี 1934 ทว่าสภาวะการล้มละลายของเศรษฐกิจ (The Great Depression) ทำให้ทั้งคู่ต้องกลายเป็นคนตกงานทันที
เมื่อเศรษฐกิจในเมืองใหญ่มิอาจตอบโจทย์ความฝันได้ เขาจึงย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดกับภรรยา พร้อมกับเปิดร้านรับซ่อมเครื่องวิทยุเล็กๆ ขึ้นในเมือง โดยใช้ชื่อร้านว่า ‘Fender Radio Services’
ด้วยความที่สามารถอ่านระบบวงจรไฟฟ้าต่างๆ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่กี่ปีต่อมาเขากลายเป็นขวัญใจของเหล่านักดนตรีท้องถิ่น ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้ลองสร้างเครื่องขยายเสียง หรือแอมป์ฯ สำหรับเครื่องดนตรี
ธุรกิจด้านเครื่องขยายเสียงของเขาเป็นไปได้ด้วยดี กระทั่งวันหนึ่งเขาได้พบกับ Doc Kauffman อดีตนักประดิษฐ์ที่ทำงานให้กับกีต้าร์ Rickenbacker ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ทั้งสองได้แชร์ความรู้ซึ่งกันและกัน
ต่อมาทั้งสองตัดสินใจร่วมหุ้นกันเปิดบริษัท K & F Manufacturing Corporation ช่วงแรกสินค้าหลักเป็นเครื่องขยายเสียงสำหรับกีต้าร์ฮาวาย
จนปี 1944 ทั้งสองได้ทดลองสร้างกีต้าร์ไฟฟ้าของตัวเองขึ้นมาเป็นครั้งแรก และเริ่มวางจำหน่ายนับตั้งแต่นั้น ซึ่งธุรกิจของทั้งคู่เป็นไปอย่างเรื่อยๆ และไม่ได้โด่งดังอะไรมากมายนัก
สงครามโลกครั้งที่ 2 กลับเป็นปัจจัยที่ทำให้วงการดนตรีในสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง จากวงที่เคยโด่งดังสุดๆ ก็กลายเป็นไม่มีงาน วงคลื่นลูกใหม่ต่างก็เริ่มหยิบจับแนวบลูส์มาผสมจังหวะแบบสวิงลงไปในเพลงของตัวเองมากขึ้น จนนำมาสู่ยุคที่วงดนตรีจำเป็นจะต้องมีกีต้าร์ไฟฟ้า เพื่อบรรเลงโน๊ตให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และได้ฟีลสวิงที่สนุกกว่า
Buddy Holly ศิลปินบลูส์ผิวขาวคนแรกที่หยิบเอา Fender Stratocaster มาให้โลกรู้จัก
ช่วงแรกสินค้าของ K & F ค่อนข้างที่จะถอดแบบมาจากยี่ห้อ Rickenbacker แต่จากความรู้สึกของ Leo Fender ที่คิดว่า น่าจะมีกีต้าร์รูปทรงที่ใช้ง่ายกว่านี้ เล่นง่ายกว่านี้ สะพายง่าย และตั้งสายได้ง่ายกว่านี้
เมื่อรวบรวมทุนได้พอสมควรแล้ว เขาจึงแยกออกมาตั้งบริษัท Fender Musical Instruments Corporation ก่อนจะเปิดตัวกีต้าร์รุ่น Telecaster ในปี 1951 และกลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
อีกหนึ่งสิ่งที่ดูเหมือนจะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง ก็คงเป็นเรื่องที่ Leo Fender ไม่สามารถเล่นกีต้าร์ได้เลย ซึ่งอันที่จริงแล้วเจ้าตัวเคยเรียนเปียโนในวัยเด็กมาก่อน ทำให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของดนตรีอยู่พอสมควร
แต่ถึงกระนั้นกีต้าร์ทุกตัวจะถูกเช็คด้วย Leo Fender เสมอ เพราะทุกครั้งที่มีรุ่นใหม่ออกมา เขาจะทำการทดสอบมันด้วยการสะพายมันไปด้วยทุกๆ ที่ เพื่อทดสอบว่ามันให้ความรู้สึกสบาย และเล่นง่าย แม้แต่คนเล่นไม่เป็นก็ยังหยิบมาฝึกซ้อมได้
Leo Fender ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดให้กับการสร้างกีต้าร์ จนวินาทีสุดท้ายของชีวิตเขาที่จากไปเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 1991
และนี่คือภาพส่วนหนึ่งของศิลปินที่เลือกให้ Fender เป็นหนึ่งในกระบี่คู่ใจของพวกเขา ก่อนจะขึ้นไปบรรเลงตัวโน๊ตให้เหล่าสาวกได้รับฟัง
Eric Clapton
Jimi Hendrix
Kurt Cobain
John Lennon
John Mayer
เรียกได้ว่าสำหรับใครที่เล่นดนตรีนั้น ‘Fender’ เป็นหนึ่งในยี่ห้อที่ต้องมีเก็บไว้อย่างน้อยคนละ 1 ตัวเลยก็ว่าได้
ที่มา: Vintagenews
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.