ผลงานสุดล้ำ!!! หากสมมุติว่าความเชื่อแบบไทยไปอยู่ในยุคกรีก-โรมัน ก็คงจะเป็นแนวๆ นี้

ภาพของการถวายขนม น้ำแดง มีธูปเทียน ตุ๊กตาช้างม้าวัวควาย หรือมีผ้าเจ็ดสีพันอยู่รอบๆ คงเป็นเรื่องปกติที่เราสามารถพบเห็นได้ในสังคมไทย จากสื่อต่างๆ ไมว่าจะเป็นข่าวในทีวีหรือหนังสือพิมพ์ รวมถึงโซเชียล โลกออนไลน์เองก็ด้วย

ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใหญ่แถวบ้าน จอมปลวก หลักกิโล หมาสามขา วัวสองหัว ทุกอย่างล้วนแล้วแต่สามารถเป็นสิ่งศักดิ์สิทธื์ได้ทั้งสิ้น เพราะมันเกิดจากการผสานกันระหว่างความเชื่อและศาสนาของคน โดยที่บางครั้งก็ไม่สามารถรับรู้เหตุผลได้ว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้ถึงต้องเป็นที่เคารพกันด้วยนะ

 

.

 

“แต่เอ๊ะ เรื่องที่เราเห็นจนชินตาเหล่านี้ มันเกิดขึ้นแค่เพียงภายในประเทศเราหรือเปล่านะ? ประเทศอื่นเขาก็ไม่ได้มีอะไรแบบนี้กันนี่นา ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นเรื่องที่เจ๋งมากเลยน่ะสิ” นี่คือความคิดของหนุ่มวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ใช้ชื่อเฟซบุ๊กว่า Sakkarin Suttisarn

เขาจึงได้สร้างผลงานที่มีชื่อว่า Transformation of Object to Worshiping จากความสงสัยที่ว่า ถ้าหากนำความเชื่อไทยสไตล์เหล่านี้ไปรวมเข้ากับ รูปปั้นชื่อดังในโรม อิตาลี หรือที่อื่นๆ แล้ว มันจะออกมาเป็นอย่างไร

 

.

 

ที่เราได้เห็นกันนี้คือการใช้โปรแกรมตัดต่อภาพของวัตถุที่มีผู้คนสักการะ รวมเข้ากับประติมากรรมที่เลือกมาจำนวน 9 แห่ง

ในตอนแรกเขาเพียงโพสต์ภาพทั้งหมดลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัว ก่อนที่มันจะกลายเป็นการจัดแสดงนิทรรศการในรอบ 5 ปีของเขา ร่วมกับศิลปิน Apiwat Singharach ในงานที่มีชื่อว่า BELIEF ช่วงเดือนมีนาคมถึงแมษายนที่ผ่านมา

และการจัดแสดงครั้งที่สองใน โฟโต้บุ๊กออนไลน์ที่ชื่อว่า viewplusmag issue.45 ฉบับเดือนเมษายน

 

.

 

เขายังบอกอีกว่าจุดประสงค์ของงานชิ้นนี้ ไม่ได้มีเพื่อเปลี่ยนความคิดของใคร เพราะแต่ละคนเองก็มีมุมมองที่แตกต่างกัน ดังนั้นภาพเหล่านี้จึงมีขึ้นเพื่อให้รับรู้ มีรอยยิ้ม และเข้าใจกับเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ว่ากับบางเรื่องแม้มันอาจดูไม่มีเหตุผล แต่มันอาจเป็นตัวช่วยลบความสิ้นหวังของคนคนหนึ่งเลยก็ได้

 

 

สุดท้ายแล้วเขาก็ขอขอบคุณบุคคลท่านหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจในชีวิตมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา และแรงบันดาลใจจากคนอื่นๆ รวมถึงทุกคนที่แวะมาชม บอกอีกว่าต้องขออภัยสำหรับภาพที่เซฟออกมาในความละเอียดที่ค่อนข้างต่ำนี้ด้วย

 

.

 

เป็นการสะท้อนออกมาได้อย่างมีความเป็นไทยอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าหากว่าเป็นอย่างนี้ขึ้นมาจริงๆ รูปปั้นทั้งหมดจะได้อยู่ในพิพิธภัณฑ์กันต่อไปหรือเปล่านะ

แล้วเพื่อนๆ เห็นและเข้าใจภาพเหล่านี้กันอย่างไรบ้างละ แสดงความคิดเห็นเล่าสู่กันฟังไว้ได้เลย

 

ที่มา: Sakkarin Suttisarn

Comments

Leave a Reply