โลโก้และชื่อเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้แบรนด์เป็นที่น่าจดจำ ยกตัวอย่างก็เช่น Nike ที่ใครเห็นก็เป็นอันต้องร้องอ๋อ… และรู้ได้ทันทีว่ามันคือแบรนด์ขายอุปกรณ์กีฬาอะไรประมาณนั้น
มีสินค้าแบรนด์หลายชิ้นที่เรายอมควักเงินจ่าย แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าสัญลักษณ์โลโก้ และชื่อแบรนด์ที่เราคลั่งไคล้ มีความหมายที่แท้จริงอะไรแฝงอยู่? เอาเป็นว่าไปหาคำตอบพร้อมๆ กันเลย
1. Pepsi
เดิมทีถูกใช้ชื่อว่า ‘Brad’s Drink’ ตามชื่อผู้คิดค้น Caleb Davis Bradham ต่อมาเจ้าตัวเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า ‘Pepsi-Cola’ ซึ่งผันมาจากศัพท์การแพทย์คำว่า Dyspepsia หมายถึงอาการอาหารไม่ย่อยนั่นเอง
2. Google
ชื่อที่เรียบง่ายแต่เกิดจากการระดมสมองของกลุ่มนักศึกษาจาก Stanford University ตอนแรกมีคนเสนอใช้ชื่อ Googolplex ทว่าชื่อนี้ก็ตกไปและเปลี่ยนมาใช้ชื่อ Google แทน
3. McDonald’s
Raymond Kroc อดีตเซลส์แมนขายเครื่องปั่นได้เจอกับสองพี่น้อง Dick และ Mc McDonald เจ้าของร้านเบอร์เกอร์ในแคลิฟอร์เนีย และรู้สึกติดใจในรสชาติเอามากๆ
จนต่อมาพวกเขาทั้ง 3 คนได้ทำธุรกิจร่วมกัน Raymond Kroc เป็นคนที่ทำให้ร้านเบอร์เกอร์ของสองพี่น้องขยายสาขาออกไปทั่วสหรัฐฯ จากนั้นเขาก็ทำการจดทะเบียนลิขสิทธิ์ชื่อ McDonald’s อย่างเป็นทางการ
3. Adidas
บ้างก็ว่าเป็นคำที่ย่อมาจาก ‘All Day I Dream About Sports’ แต่ในความเป็นจริงแล้วชื่อแบรนด์ถูกผันมาจากชื่อผู้ก่อตั้ง Adolf Dassler โดยเป็นการนำชื่อเล่น (Adi) มาผสมกับตัวอักษร 3 ตัวแรกในชื่อของเขา
4. Rolex
ในตอนแรก Hans Wilsdorf ต้องการชื่ออะไรซักอย่างที่สามารถพูดได้ในทุกภาษา เขาค้นหาตัวอักษรมาผสมเป็นชื่อแบรนด์ไว้นับร้อยชื่อ แต่วันหนึ่งตอนที่กำลังไปขี่ม้าเล่นจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงกระซิบมาว่า ‘Rolex’
5. Zara
เดิมที Amancio Ortega ตั้งชื่อแบรนด์ตามภาพยนตร์ที่ตนชอบเรื่อง ‘Zobra the Greek’ และเมื่อเปิดหน้าร้านครั้งแรกก็ดันไปตรงกับชื่อบาร์ใกล้ๆ ในละแวกนั้น หลังจากนั้น Ortega จึงเปลี่ยนมาใช้คำที่ออกเสียงคล้ายกันแทน
6. IKEA
อันที่จริง IKEA ไม่ใช่ภาษาสวีเดนที่ดูลึกล้ำอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่มันมีต้นกำเนิดมาจากการที่ Ingvar Kamprad นำตัวอักษรหน้าชื่อมารวมกันเป็น ‘IK’ ส่วน ‘EA’ ก็มีที่มาจากเมืองที่เขาเติบโตมาคือ Elmtaryd และ Agunnaryd
7. Starbucks
Gordon Bowker ต้องการสร้างแบรนด์โดยใช้ตัวอักษร ‘St’ นำหน้า เพราะมันดูมีพลังมากกว่าเวลาออกเสียง จู่ๆ วันหนึ่งเขาก็เหลือบไปเห็นแผนที่เหมืองที่ชื่อว่า Starbo เจ้าตัวก็แอบคิดไปถึงตัวละครที่ชื่อ Starbucks ในเรื่อง Moby-Dick ทันที
8. Gap
ชื่อเรียบๆ ที่มีความต้องการอยากจะนำเสนอเสื้อผ้าที่อยู่ในช่วงวัยผู้ใหญ่และเด็ก แบรนด์เปิดช็อปครั้งแรกในปี 1969 และสร้างชื่อเสียงจากการผลิตกางเกงยีนส์จนโด่งดังในปัจจุบัน
9. Häagen-Dazs
Reuben Mattus เคยออกมาเผยว่าจริงๆ แล้วชื่อยี่ห้อนี้ไม่มีความหมายอะไรเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศเดนมาร์กก็ตาม เหตุผลที่ใช้ชื่อนี้ก็เพราะมันฟังดูติดหูดีแค่นั้นแหละ
10. Nike
แบรนด์กีฬาดังที่คงไม่มีใครไม่รู้จัก ทว่าชื่อ ‘Nike’ เป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งชัยชนะตามความเชื่อของชาวกรีก
11. Gatorade
เริ่มต้นมาจากอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยฟลอริด้า ต้องการผลิตเครื่องดื่มกีฬาให้กับทีมฟุตบอล Florida Gators และเครื่องดื่มก็ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
12. Under Armour
Kevin Plank เคยให้สัมภาษณ์ว่า แรกเริ่มเขาต้องการใช้ชื่อ Body Armor แต่วันหนึ่งหลังจากมีนัดทานอาหารเที่ยงกับญาติสนิท เจ้าตัวก็ถูกทักว่าทำงานให้บริษัท Under Armour
ส่วนสาเหตุที่ยี่ห้อนี้ใช้ตัวสะกดแบบอังกฤษ นั่นก็เพียงเพราะว่าเวลาเขียนเป็นเบอร์โทรติดต่อ 888-4ARMOUR ที่ดูดีกว่าแบบเดิมคือ 888-44ARMOR แค่นั้นเอง
13. Amazon
ตอนแรกสุด Jeff Bezos อยากจะใช้ชื่อร้านขายหนังสือออนไลน์ของตนเองว่า ‘Cadabra’ ทว่าทีมงานกลับท้วงติงเพราะการออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่า ‘Cadaver’
ต่อมาเจ้าตัวอยากใช้ชื่อบริษัทว่า Relentless (ถ้าเข้า Relentless.com ก็จะเป็นการเข้าเว็บ Amazon โดยอัตโนมัติ) แต่ดูเหมือนว่าชื่อ Amazon ที่ได้แรงบันดาลใจจากแม่น้ำสายใหญ่ของโลกดูจะเข้าหูมากกว่า…
กว่าจะมาเป็นแบรนด์ดังระดับโลกได้ ก็แอบมีเรื่องราวจุดกำเนิดคล้ายวงดนตรีวงหนึ่งเลยนะเนี่ย
ที่มา: BusinessInsider
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.