10 ประเภท “การถึงจุดสุดยอดของผู้หญิง” (Orgasm) ตามหลักวิทยาศาสตร์ สาระจัดเต็ม!!

การถึงจุดสุดยอดเป็นเรื่องที่ทุกคนมีเหมือนกันหมด ซึ่งเรื่องนั้นผู้ชายก็คงจะเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่สำหรับผู้หญิงบางคนอาจคิดว่ามันคืออะไร? เพราะตัวเองไม่เคยเป็นมาก่อน

โดยมีงานวิจัยบอกไว้ว่า 1 ใน 3 ของผู้หญิงทั้งหมด ไม่ได้ถึงจุดสุดยอดจากการมีเพศสัมพันธ์ จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ใครหลายคนไม่เข้าใจจุดนี้ก็ได้

แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะการถึงจุดสุดยอดนั้น เมื่อแบ่งออกมาตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว มีมากถึง 10 แบบกันเลย เราลองไปดูกันดีกว่าว่าจะมีอะไรกันบ้าง และแบบไหนที่จะเป็นแบบที่ใช่สำหรับคุณกันนะ

 

 

Clitoral

มันก็คือการถึงจุดสุดยอดจากการถูกกระตุ้นบริเวณคริตอริสหรือปุ่มกระสันนั่นเอง เพราะมันอยู่ด้านนอกจึงทำให้สามารถเข้าใจกันได้ง่าย และเป็นการถึงจุดสุดยอดแบบพื้นฐานของใครหลายคน หากถูกกระตุ้นระบบประสาท Pudendal ก็จะทำงาน ทำให้คุณรู้สึกฟินกันไปเลย

เสริมอีกอย่างคือหากมีการกระตุ้นตรงจุดนี้แบบผิวเผิน ควบคู่กับการเสียดสีในผนังช่องคลอดแล้ว ผลลัพธ์ก็จะยอดเยี่ยมเอามากๆ เลยแหละ

 

G-spot

เป็นชื่อที่คุ้นหูกันดีอยู่แล้วนะ เพราะมันก็เป็นการถึงจุดสุดยอดของใครหลายคนอีกเช่นเดียวกัน จุดที่จะต้องถูกกระตุ้นจะอยู่บริเวณผนังช่องคลอดด้านบน ลึกเข้าไปประมาณ 2 นิ้ว

และหากถูกกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอซัก 15 นาที ก็จะทำให้ระบบประสาทบริเวณกระดูกเชิงกรานกับท้องน้อย ทำงานจนเหมือนว่าทั้งร่างเราสั่นสะท้าน และอาจมีน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกนะ

 

 

Blended

คือจุดสุดยอดแบบผสมกันของสองแบบแรก ที่ถูกกระตุ้นทั้งส่วนภายในและภายนอก สังเกตได้ไม่ยาก เพราะเมื่อไหร่ที่รู้สึกฟินแบบจัดหนักมากกว่าปกติแล้วละก็ นั่นแหละคือการถึงจุดสุดยอดในแบบนี้

 

Cervical

คือการถึงจุดสุดยอดในส่วนลึกที่สุดของช่องคลอดเรียกว่า คอมดลูก ดังนั้นจึงต้องใช้อุปกรณ์หรือน้องชาย ที่มีขนาดยาวพอให้ไปถึงตรงจุดนั้น ผลที่ตามมาจากระบบประสาททำงานพร้อมกันถึงสามแห่ง คือคุณจะฟินไปทั้งตัวเลย

และบางครั้งหากผู้หญิงไม่ได้รับการกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ที่เพียงพอ จากจะฟินก็อาจรู้สึกเจ็บแทนได้ ทำให้มีเพียง 10 เปอร์เซนต์ของสาวๆ ที่รู้สึกเป็นสุขกับการถูกกระตุ้นในจุดนี้

 

 

Multiple

มันคือการถึงจุดสุดยอดอย่างน้อย 2 ครั้ง จากการมีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียว ผลลัพธ์อาจทำให้คุณขึ้นสวรรค์ได้เลย ถ้าอยากเป็นอย่างนั้นขอเพียงแค่คุณอดทนรับมือกับจุดอ่อนไหวเอาไว้ให้ได้ บางทีถ้าถึงจุดครั้งหนึ่งแล้ว ก็อาจพักสักแป๊บก่อนไปต่อก็ได้นะ

 

Nipplegasm

การกระตุ้นตรงบริเวณหัวนมอาจไม่ได้ทำให้ถึงจุดสุดยอดด้วยตัวมันเอง แต่จะทำให้การมีเพศสัมพันธ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพราะมันจะหลั่งฮอร์โมน Oxytocin ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอดมีการเกร็งตัว และผู้ชายเองหากถูกกระตุ้น การไหลเวียนเลือดตรงบริเวณจุ๊ดจู๋ก็จะทำงานได้ดีขึ้นด้วย

 

 

Mindgasm

ถ้าอยากถึงจุดสุดยอดด้วยตัวเองคนเดียวคุณก็ทำได้ เพียงแค่มีอุปกรณ์ช่วยหรือใช้มือเพียงอย่างเดียว ผสมให้เข้ากับการหายใจเข้าลึกๆ คิดถึงเรื่องราวอันแสนเร่าร้อน และควบคุมการเกร็งตัวของช่วงบริเวณกระดูกเชิงกรานเอาไว้ เท่านั้นก็ใช้มือหรืออุปกรณ์ของคุณ ลูบไล้ไปตามบริเวณที่ชอบได้เลย

 

Sleepgasm

การฝันเปียกไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม เพราะหากว่าในฝันเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก็จะไปทำให้เลือดไหลเวียนบริเวณจิ๊มิ๊ส์ดีขึ้น จนถึงจุดนั้นในที่สุด

มีการวิจัยก่อนหน้านี้บอกว่า 40 เปอร์เซนต์ของผู้หญิงจะต้องเคยฝันเปียกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แต่นี่คือข้อมูลของเมื่อยุค 1950s นะ สมัยนี้ก็คงจะมากกว่านั้นเยอะแล้วแหละ

 

 

Coregasm

เป็นเรื่องที่ยังหาสาเหตุจริงๆ ไม่ได้ว่าทำไมผู้หญิงบางคนถึงจุดสุดยอดได้จากการออกกำลังกาย?! แต่นารีแพทย์ชื่อ Carolyn Delucia บอกว่าหลังจากการคาร์ดิโออย่างหนัก ทำให้อัตราการเต้นหัวใจพุ่งสูงและหลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมา หรือการเล่นกล้ามท้อง อาจไปทำให้บริเวณน้องสาวมีการไหลเวียนเลือดดีขึ้น จนเป็นสาเหตุของเรื่องนี้

หรือบางท่าที่มักจะทำให้ถึงจุดสุดยอดกันคือ การยกขาสูง หรือออกกำลังกายหน้าท้องในท่าที่เรียกว่า Captain’s Chair (ลองเข้าไปดูแล้วเอาไปทำตามกันดูได้นะ)

 

Music-gasm หรือ Skin-gasm

ที่สิ่งนี้มาอยู่อันดับสุดท้ายเพราะว่า มันเป็นการถึงจุดสุดยอดที่ไม่ได้รุนแรงหรือเป็นเรื่องของเพศเสมอไป หากว่าคุณฟังเพลงแล้วรู้สึกเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย หรือขนลุกซู่ ก็อาจเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้

และมักจะเกิดขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกันกับใครสองต่อสอง จากการโต้ตอบของสมองในทิศทางเดียวกัน ขึ้นอยู่กับเพลงและการสัมผัสร่างกายกันด้วยนะ เพราะมันจะทำให้หลั่งสารโดพามีน ที่จะทำให้คุณรู้สึกดีออกมา

 

ทั้งหมดนี้สาวๆ ก็สามารถเอาไปลองปรับใช้หาวิธีที่ชอบมากที่สุดกันได้เลย เวลาที่ฟินจะได้รู้สึกกันได้อย่างเต็มที่ และทำให้ชีวิตคู่นั้นมีความสุขมากที่สุด…

ที่มา: sheknows