ต้องบอกก่อนว่าผลจากงานวิจัยชิ้นล่าสุดนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ต้องการแขวะบุคคลทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นหนึ่งในผลวิจัยที่เพิ่งได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร Archives of Sexual Behavior
โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย Nipissing ประจำประเทศแคนาดา ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมจากคน 2 กลุ่ม โดยเน้นไปที่การจับสังเกตบทบาทของค่าความกว้าง-สูง ของใบหน้า (FWHR) เพื่อหาความสอดคล้องที่มีต่อพฤติกรรมการหาคู่ และพฤติกรรมความไม่ซื่อสัตย์
สำหรับกลุ่มแรก… ทีมวิจัยได้นำอาสาสมัครจำนวน 145 คน (วัยนักเรียน) มาวัดขนาดความกว้าง – ยาว ของใบหน้าตามหลัก FWHR ซึ่งมีวิธีการวัดโดยนำขนาดความกว้างของใบหน้า ลบกับขนาดความยาวของใบหน้า
นอกจากนั้นทีมวิจัยยังได้เก็บแบบสอบถามเกี่ยวกับพฤติกรรมความสัมพันธ์ทางเพศ แรงขับทางเพศ และได้นำข้อมูลทั้งหมดไปวิเคราะห์ประมวลผล
และน่าแปลกใจมากที่ทีมวิจัยพบความเชื่อมโยงระหว่างขนาดความเหลี่ยมของใบหน้า และพฤติกรรมความสัมพันธ์ทางเพศ
ในการศึกษาขั้นที่ 2 ทีมวิจัยได้นำอาสาสมัครจำนวน 314 คน ไปทำการทดสอบ โดยมีการเพิ่มบททดสอบที่เกี่ยวกับเรื่องของเพศสัมพันธ์นอกความสัมพันธ์แบบผูกมัด (Sociosexuality) และความไม่ซื่อสัตย์ที่เกิดอย่างจงใจ (intended infidelity)
จากการทดสอบทั้ง 2 ขั้นตอน ทีมวิจัยได้ผลสรุปออกมาว่า ค่าสัดส่วนใบหน้า FWHR มีผลต่อการกระตุ้นทางเพศทั้งหญิงและผู้ชาย… โดยตัวเลขจากงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า กลุ่มอาสาสมัครที่มีสัดส่วนใบหน้ากว้าง สั้น และมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม จะมีแนวโน้มที่มีขับทางเพศสูงกว่า
อีกหนึ่งบทสรุปที่นอกเหนือจากเรื่องของแรงขับทางเพศแล้ว ทีมวิจัยยังค้นพบอีกด้วยว่าค่า FHWR สำหรับใบหน้าผู้ชาย มีผลสัมพันธ์ต่อระดับความไม่ซื่อสัตย์ และการมีเพศสัมพันธ์นอกความสัมพันธ์ที่มากกว่า
ดังนั้นหากอ้างอิงจากงานวิจัยดังกล่าว เราอาจสรุปได้ว่า ผู้ชายที่มีขนาดใบหน้ากว้างกว่า และมีรูปทรงเป็นเหลี่ยมมากกว่า มีแนวโน้มที่จะนอกใจ พูดโกหก และเปิดเผยกับเพศสัมพันธ์ที่อยู่นอกความสัมพันธ์มากกว่า
แต่ถึงกระนั้นทีมวิจัยก็ได้ให้คำอธิบายเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่ผู้ชายดูจะมีปัญหาเรื่องนี้มากกว่าผู้หญิง นั่นก็อาจมีปัจจัยมาจาก ‘เทสโทสเตอโรน’ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์ของมนุษย์เพศชาย
ถึงว่าทำไมผู้ใหญ่แถวบ้านชอบสอนให้เราระวังคนหน้าเหลี่ยมตลอดเลย เพิ่งเข้าใจก็วันนี้นี่ละ
ที่มา: Techtimes
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.