เราทุกคนย่อมรักพ่อแม่ไม่น้อยไปกว่าที่พวกเขารักเรา เวลาที่ลูกเจ็บ พ่อแม่คงจะรู้สึกเจ็บยิ่งกว่า เช่นเดียวกันหากรู้ว่าพ่อแม่เจ็บ ลูกก็คงปวดร้าวไม่ต่างกัน
เช่นเดียวกับหญิงสาวคนนี้ ที่เผยความรู้สึกเมื่อได้ยินเสียงแม่กรีดร้อง ขณะถูกข่มขืนและถูกฆาตกรรมโดยคนแปลกหน้าอย่างโหดเหี้ยม
ตอนที่เกิดเหตุการณ์นี้ Sarah Parry อายุเพียง 12 ปี ในขณะที่คุณแม่ Crystal Perry อายุ 30 ปี เธอถูกข่มขืนและถูกแทงมากกว่า 50 ครั้ง จนเสียชีวิตภายในห้องครัวของเธอ
ที่ทำให้ลูกสาวเจ็บปวดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดคือ เธอต้องรอนานถึง 10 ปี กว่าคุณแม่ผู้ล่วงลับจะได้รับความยุติธรรม…

Sarah เล่าว่า ในวันนั้นเธอใช้เวลาอยู่กับแม่ทั้งวัน รวมทั้งทานข้าวเย็นด้วย ก่อนจะเข้านอน… แต่จู่ๆ เธอก็ได้ยินการเปิดลิ้นชักในครัว แล้วก็ได้เสียงมีดแทงเข้ากับบางอย่าง ตามด้วยเสียงกรีดร้องของแม่!!
ตอนแรก Sarah ไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่าแม่คงทะเลาะกับแฟนของเธอ แต่ทว่าเสียงกรีดร้องนั้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่องและดังขึ้นเรื่อยๆ จนเธอคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แต่ตลอดระยะเวลาที่ได้ยินเสียงแม่กรีดร้องนั้น สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือวิ่งไปหลบอยู่ในห้องตัวเอง แล้วรอฟังเสียงสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเจ็บปวด จนกระทั่งเสียงกรีดร้องสงบลง
ลูกสาวได้รวบรวมความกล้าแล้วค่อยๆ เดินไปที่ห้องครัว ก่อนจะเห็นร่างแม่กองอยู่บนพื้น Sarah รีบโทรไปยัง 911 ทันที แต่โชคร้ายที่สายไม่ว่าง
แม้จะกลัวมากแค่ไหน แต่หญิงสาวพยายามตั้งสติ แล้ววิ่งไปเคาะประตูเพื่อนบ้าน แต่ไม่มีใครตอบเลย เธอจึงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ เพื่อหาคนช่วย จนไปเจอร้านกาแฟที่ยังเปิดอยู่

ตอนนั้นเธอคิดอยู่อย่างเดียวว่าแม่จะต้องปลอดภัย ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม แต่สุดท้ายเมื่อตำรวจมาถึง ก็พบว่าคุณแม่ได้สิ้นลมหายใจแล้ว
“ตำรวจทำการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด และแน่นอนว่าฉันคือพยานสำคัญ” Sarah กล่าว
ตำรวจเชื่อว่า Sarah คงต้องเห็นช่วงที่เกิดเหตุการณ์นี้บ้าง แต่ไม่ยอมพูดออกมา พวกเขาพยายามเค้นถามหลายครั้ง แต่หญิงสาวยืนยันเหมือนเดิมเธอไม่เห็นอะไร เพราะอยู่ห้อง
คดีนี้ยืดเยื้อมานาน จน Sarah ย้ายไปอยู่กับอาที่เท็กซัส ซึ่งทางตำรวจก็ยังไม่รู้ตัวคนร้าย หลังจากนั้นหญิงสาวก็ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่นอร์มแคลิฟอร์เนีย
ปัจจุบัน Sarah อายุ 35 ปี เธอทำงานเป็นนักเขียน ขณะเดียวกันเธอก็พยายามค้นหาความจริงเกี่ยวกับการตายของแม่ เพื่อทวงความยุติธรรมให้แม่ที่ล่วงลับไป
หญิงสาวได้เล่าถึงความสัมพันธ์กับแม่ว่า เธอสนิทกับแม่มาก จนใครๆ ต่างคิดว่าเป็นพี่น้องมากกว่าแม่ลูก พวกเขาไปดูหนังด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน ช้อปปิ้งด้วย และแทบจะตัวติดกันตลอดเวลา
แต่เมื่อแม่จากไป แม้จะเธอจะโกรธฆาตรกรคนนั้นมากแค่ไหน เธอก็ต้องใช้ชีวิตต่อไป และโชคดีที่ได้ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น เพราะตอนนี้บ้านของเธอมีแต่ความทรงจำที่เจ็บปวด ที่สำคัญคนร้ายยังคงลอยนวลอยู่ที่นั่น
นั่นเป็นเหตุผลที่ Sarah ไม่เคยกลับบ้านเลยตั้งแต่เกิดเรื่อง กระทั่งปี 2006 เธอได้รับโทรศัพท์จากตำรวจใน Maine พร้อมแจ้งเรื่องที่ทำให้ตกใจมากๆ
ตำรวจบอกว่าพบ DNA ที่ตรงกับของคนร้าย เขาคือ Michael K Hutchinson ถูกจับกุมเพราะข่มขู่ผู้อื่น และตอนที่ Crystal เสียชีวิต เขามีอายุได้ 19 ปี
เมื่อตรวจ DNA ของ Hutchinson ปรากฏว่าตรงกับคนร้ายที่ลงมือข่มขืนและฆ่าแม่ของ Sarah เมื่อ 12 ปีก่อน นั่นทำให้เธอโล่งใจ เพราะในที่สุดแม่ก็ได้รับความยุติธรรมสักที

ต่อมาในปี 2007 Sarah ได้ยืนต่อหน้าศาล ในระหว่างการพิจารณาคดีของแม่ที่จากไป เธอได้พูดถึงผลกระทบได้รับหลังจากเกิดเหตุดังกล่าว
แม้จะมีหลักฐานเป็น DNA อย่างชัดเจน แต่ Hutchinson ก็ยังปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่สุดท้ายศาลก็ตัดสินให้เขามีความผิด และถูกจำคุกตลอดชีวิต
ทางด้าน Sarah แม้คดีจะคลี่คลายแล้ว แต่เธอก็ยังไม่สามารถอภัยให้คนร้ายคนนี้ได้ เพราะสิ่งที่เขาทำนั้นมันโหดร้ายเกินจะรับได้ ที่ทำได้คือเธอต้องยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และมีชีวิตอยู่ต่อไป
จริงๆ แล้ว ตลอดเวลาที่รอคอยมา 12 ปี เธอมีคำพูดหลายอย่างที่จะถาม จะบอกคนร้าย แต่เมื่อถึงเวลาจริง แม้แต่หน้าเขาเธอยังไม่อยากมอง นั่นทำให้ Sarah ไม่ปริปากพูดกับคนร้ายสักคำตั้งแต่ขึ้นศาลจนถึงตอนนี้
ที่มา metro
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.