ถ้าหากพูดถึงประเทศบราซิล สิ่งหนึ่งที่หลายๆ คนอาจจะรู้จักก็คงจะเป็นกีฬาฟุตบอลหรือการเต้นแซมบ้าแน่นอน แต่นอกจากเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ที่นี่เองก็ไม่ต่างจากเมืองหลวงทั่วๆ ไป ที่ยังคงมีชุมชนแออัดหรือสลัมให้ได้เห็นกันตามสถานที่ต่างๆ
และวันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ São Vito สลัมลอยฟ้า ที่ได้ชื่อว่าเป็นสลัมที่สูงที่สุดในโลก จากเมืองเซาเปาโลประเทศบราซิล…
เซาเปาโลนั้นได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่ง ที่นี่มีผู้คนอาศัยอยู่มากกว่า 20 ล้านคน และแน่นอนว่าเมื่อมีการขยายตัวของเมือง ความเจริญจึงเป็นสิ่งหนึ่งที่ดึงดูให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาในเมืองนี้ ทุกวันนี้ในเซาเปลาโลเต็มไปด้วยร้านอาหารสุดหรู โรงภาพยนตร์ และร้านค้าอื่นๆ อีกมากมาย
นอกจากนี้ ที่นี่ยังเต็มไปด้วยอาคารเก่าหลายๆ แห่ง และหนึ่งในนั้นก็คืออาคาร São Vito ตึกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด มันถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1959 จุดประสงค์ของอาคารหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่พักอาศัยของผู้คน และตลอดระยะที่ 20 ปีที่เปิดใช้งานอาคาร 27 ชั้นแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่มากถึง 3,000 คน
ถึงแม้ว่าในสมัยก่อนอาคารหลังนี้ จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาคารที่มีชื่อเสียง และเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่ว่าจะเป็นห้องประชุมสุดหรูชั้นบน หรือร้านค้าในชั้นล่าง แต่สถาปนิกหลายๆ คนต่างลงความเห็นว่า São Vito นั้นคือความผิดพลาดของการออกแบบ เพราะมันซ่อมบำรุงได้ยากนั่นเอง
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยจำนวนของผู้พักอาศัยที่มากขึ้นทำให้มีความกังวลเกี่ยวกับการอพยพเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ และความปลอดภัยของพวกเขา จนกระทั่งเมื่อปี 2004 อาคารแห่งนี้ก็ถูกทิ้งร้างไป
หลังจากนั้นไม่นาน São Vito ก็กลายเป็นที่พักอาศัยของเหล่าคนไร้บ้าน มีปัญหาทางด้านอาชญากรรมมากมาเกิดขึ้นที่นี่
และถึงแม้ว่าในปี 2002 จะมีการหารือกันของผู้เช่ารายเก่าที่เป็นเจ้าของห้องในอาคารแห่งนี้ เพื่อทำการพัฒนาให้เป็นที่พักอาศัยของผู้มีรายได้น้อย แต่ด้วยค่าใช่จ่ายที่สูงและปัญหาต่างๆ ทำให้โครงการนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ นั่นจึงทำให้ทางการจำเป็นต้องทุบอาคารดังกล่าวทิ้งไป
แต่ก่อนหน้าที่จะมีการทุบทำลาย ในปี 2011 ได้มีการเผยแพร่ภาพถ่ายของสลัมลอยฟ้าแห่งนี้ และได้แสดงให้เห็นถึงพื้นผิวของอาคารที่เต็มไปด้วยร่องรอยของกราฟฟิตีและกระจกหน้าต่างที่แตก ซึ่งนั่นทำให้มันมีชื่อเล่นเป็นภาษาท้องถิ่นว่า “Theme-Theme” หรือแปลว่าอาคารที่ดูไม่มั่นคงนั่นเอง
São Vito ถูกทุบทำลายไปเมื่อปี 2014 และตอนนี้พื้นที่ดังกล่าวถูกปรับปรุงให้กลายเป็นสวนสาธารณะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่มา abandonedspaces
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.