นักกีฬาวอลเลย์โรงเรียน ถูกโค้ชและเพื่อนทำร้ายร่างกาย เพราะฝ่าฝืนกฎ “ห้ามเดตสาว”

เราอาจเคยได้ยินว่าไอดอลในประเทศญี่ปุ่น ไม่สามารถออกเดตได้ และกฎเดียวกันนี้ก็จะมีอยู่ในหลายโรงเรียน โดยพวกเขาเชื่อว่ามันเป็นการช่วยให้นักเรียนสามารถตั้งใจเรียนหนังสือได้อย่างไม่วอกแวก รวมถึงการทำกิจกรรมชมรมต่างๆ แต่การฝ่าฝืนกฎดังกล่าวก็อาจตามมาด้วยความรุนแรงที่คาดไม่ถึงเหมือนอย่างเหตุการณ์นี้

นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยมปลาย Ashikaga จังหวัดโทะชิงิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งชมรมวอลเลย์บอลชายของโรงเรียนแห่งนี้ถือได้ว่ามีชื่อเสียงและได้เข้าแข่งระดับประเทศมาตลอด

 

โรงเรียนมัธยม Ashikaga ในประเทศญี่ปุ่น

 

ทางชมรมมีกฎที่เข้มงวดตั้งเอาไว้ว่า “ห้ามนักกีฬาออกเดตกับทุกคนที่เกี่ยวข้องในชมรมวอลเลย์บอล” แม้แต่ผู้จัดการทีมที่เป็นผู้หญิงก็ห้ามคบหาเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่เกิดการอิจฉาหรือความเกลียดชังกันระหว่างคนในทีม

แต่ความรักก็เป็นเรื่องยากที่จะห้ามมันเอาไว้ได้ จึงทำให้นักกีฬาชายชั้นม.5 วัย 17 ปีคนหนึ่ง แอบคบกับผู้จัดการทีม และนั่นก็ทำให้เขาถูกลงโทษอย่างรุนแรงในวันที่ 29 มิถุนายน 2017

 

ภาพประกอบบทความไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

 

โค้ชของทีมวัย 66 ปีได้ทำการลงโทษนักกีฬาคนดังกล่าว โดยให้เขานั่งคุกเข่าลงไปกับพื้นตามลักษณะท่าทางของวัฒนธรรมญี่ปุ่น จากนั้นโค้ชก็เตะเข้าไปที่หน้าอกของเด็กหนุ่มซ้ำๆ อยู่หลายครั้ง และตีหลังของเขาในตอนที่ล้มลงไปนอนกับพื้น

และไม่ได้มีเพียงการลงโทษทางร่างกายที่รุนแรงเท่านั้น แต่นักกีฬาผู้ฝ่าฝืนกฎคนนี้กลับต้องเจอกับการถูกเพื่อนร่วมทีมทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่หอพักและในโรงยิมของโรงเรียน

 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ถูกกระจายออกไป ทำให้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2017 Shigekazu Matsushita ครูใหญ่โรงเรียน Ashikaga ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า โค้ชคนนั้นไม่ถูกตัดสิทธิ์ในการคุมทีมวอลเลย์บอลชายในการแข่งขันประจำชาติที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคม 2018

แต่ถึงอย่างนั้นโค้ชก็ไม่ได้ถูกไล่ออกและได้ทำงานต่อไปจนจบปีการศึกษานี้ ซึ่งทางโรงเรียนก็เลือกที่จะไม่ต่อสัญญากับเขาต่อไป ส่วนนักกีฬาคนอื่นๆ ในทีมที่ได้ทำร้ายเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่นับว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันภายในโรงเรียนและไม่ได้ถูกไล่ออกเช่นเดียวกัน

 

 

การลงโทษทางร่างกายอย่างการตีเด็กอาจเป็นเรื่องที่มีใช้กันอยู่ในบางที่ แต่การทำอย่างนั้นก็ต้องดูในเรื่องของความเหมาะสม ไม่ลงโทษรุนแรงมากจนเกินไป เพราะนั่นอาจกลายเป็นการทำร้ายร่างกายที่ไม่เป็นผลดีต่อใครเลย

 

ที่มา: rocketnews24

Comments

Leave a Reply