พวกเราส่วนใหญ่เกิดมาได้รับการดูแลจากคนในครอบครัวเป็นอย่างดี แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เด็กบางคนอาจจะไม่ได้รับความรักหรือความอบอุ่นเสมอไป เพราะพวกเขาต้องเจอกับความโหดร้ายที่มากเกินกว่าใครจะรับรู้ เหมือนอย่างเธอคนนี้
หญิงสาวผู้โชคร้ายที่ชื่อว่า Katie Beers วัย 35 ปี เธอได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวในกระทู้ถามตอบ Reddit AMA เกี่ยวกับการถูกทารุณกรรมทางเพศตั้งแต่เด็ก และการถูกลักพาตัวไปข่มขืนตอนที่อายุเพียงแค่ 9 ขวบ
Katie ตอนที่ยังเป็นเด็ก
การถูกคุกคามทางเพศเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เธออายุประมาณ 1-2 ขวบ ในตอนนั้นแม่อุปถัมภ์ที่มีศักดิ์เป็นน้า รับเด็กสาวคนนี้ไปเลี้ยงดู แต่แทนที่เธอจะได้เจอกับความรัก ความอบอุ่น มันกลับกลายเป็นความโหดร้ายที่น่าสลด
เด็กสาวถูกเลี้ยงดูเยี่ยงทาสและสามีของน้าเธอก็คุกคามเด็กสาวตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา การถูกทารุณกรรมทางเพศเกิดขึ้นยาวนานเกือบ 8 ปีเลยทีเดียว
สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ในวันที่ 28 ธันวาคม 1992 ก่อนวันเกิดครบรอบ 10 ปีของเธอ ในวันนั้นเธอถูกชายผู้เป็นเพื่อนของคนในครอบครัวลักพาตัวเธอไป และขังเอาไว้ในห้องใต้ดิน พร้อมกับข่มขืนเธอซ้ำไปซ้ำมา
ในตอนนั้นเธอต้องเจอกับการคุกคามทางเพศจากคนที่เธอไว้ใจ
ชายที่ลักพาตัวเธอไปมีชื่อว่า John Esposito เขาคือคนที่เธอเคยเห็นหน้ามาตั้งแต่เด็กและเรียกเขาว่า Big John ทำให้เธอเชื่อใจเขา หลังจากที่เขามาหลอกเธอว่าจะซื้อของขวัญวันเกิดให้ พาเธอไปที่ร้านของเล่นและร้านเกมในละแวกนั้น ก่อนที่จะจับเธอมาขังเอาไว้
หญิงสาวถูกจับขังเอาไว้ในห้องใต้โรงรถที่ John สร้างขึ้นมา เป็นห้องเล็กๆ ที่แทบจะไม่มีแสงใดๆ ลอดเข้าไปได้เลย ทางเข้าห้องลับใต้ดินนี้ถูกปิดเอาไว้ด้วยคอนกรีตหนักกว่า 90 กิโลกรัม ถูกซ่อนเอาไว้ด้วยพรมกับตู้เสื้อผ้าและชั้นหนังสือที่วางทับไว้
ห้องที่ถูกสร้างเอาไว้เพื่อขังเธอโดยเฉพาะ
เด็กสาวถูกทารุณกรรมทางเพศตั้งแต่วันแรกที่ถูกกักขังเอาไว้ และต้องเจออย่างนั้นไปอีกนานกว่า 2 สัปดาห์ โดยไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน และไม่ได้หลับตานอนลงได้อย่างสบายใจเลย
เมื่อเธอหายตัวไป ครอบครัวอุปถัมภ์ของเธอก็เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ไม่ว่าจะพยายามหามากแค่ไหน ก็กลับไม่พบตัวเด็กสาวเลย ถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่จะแวะไปบ้านของ John ที่อยู่ในละแวกนั้นก็ตาม แต่เสียงกรี๊ดของเด็กสาวก็ไม่ดังพอที่จะลอดพื้นดินมาให้ใครได้ยินหรือเอะใจใดๆ
ทางเข้าที่ทำด้วยคอนกรีต ทำให้เสียงของเธอแทบจะไม่เล็ดลอดออกมาได้เลย
.
จนกระทั่งผ่านไป 17 วัน John ตัดสินใจถ่ายรูปของเด็กสาวที่ถูกขังเอาไว้ส่งให้กับตำรวจ จึงทำให้เธอได้ออกมาเจอกับโลกภายนอกอีกครั้ง ซึ่งครั้งแรกที่เธอได้เจอกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ลงไปช่วย ตอนนั้นเธอรู้สึกกลัวอย่างมาก เพราะเข้าใจว่าพวกเขาถูกเรียกมาให้ข่มขืนเธอ
จากคำสารภาพของสิ่งที่เกิดขึ้น ชายคนนี้ไม่ได้ถูกตั้งข้อหาข่มขืนหรือทารุณกรรมทางเพศเลย และได้รับโทษจำคุก 15 ปีถึงตลอดชีวิตเท่านั้นเอง แต่ระหว่างการคุมขังและรอลงอาญาในปี 2013 John ก็ได้เสียชีวิตในคุกไปเสียแล้ว
John ให้การสารภาพและถูกจับกุมตัวในที่สุด ก่อนจะเสียชีวิตในห้องขัง
นอกจาก Katie จะได้รับการช่วยเหลือจากการถูกกักขังและข่มขืนแล้ว สามีของน้าเธอที่คุกคามทางเพศเธอมาตลอดก็ถูกจับเช่นเดียวกัน หลังจากที่เธอได้บอกกับเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้น
Katie เล่าว่า “ช่วงหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาสัมภาษณ์ฉันในห้องนอนของบ้านที่ฉันอาศัยมาตั้งแต่ 2 ขวบ ซึ่งตอนนั้นฉันรู้สึกเกร็งและรู้สึกว่ามันยากมากที่จะเล่าความจริงทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ฟังได้ ในเมื่อห้องนั้นคือห้องที่ฉันถูกทารุณมาตลอด”
อย่างไรก็ตามเธอก็รู้สึกขอบคุณครอบครัวอุปถัมภ์ของเธอที่ช่วยทำให้เธอได้มีบ้านที่สามารถอยู่ได้อย่างปลอดภัย และการที่เธอถูกคุมคามมาตั้งแต่เด็ก ก็เหมือนกับการเตรียมพร้อมให้เธอสามารถอดทนจากการถูกลักพาตัวไปได้
Linda Inghilleri แม่อุปถัมภ์ของเธอ
ในตอนที่ถูกขังเอาไว้ แทนที่เธอจะรู้สึกหวาดกลัวมากจนเกินไป ตอนนั้นเธอกลับเล่นสงครามประสาทกับคนที่จับเธอไว้แทน
Katie เล่าว่า “ฉันพยายามถาม John เกี่ยวกับเรื่องของอนาคต เพื่อทำให้เขารู้สึกกังวลว่าถ้าหากจับฉันขังไว้อย่างนี้ จะทำให้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และจะใช้ชีวิตกันต่อไปอย่างไรในวันข้างหน้า” ซึ่งนั้นอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจมอบตัวในที่สุด
หลังจากที่เธอผ่านเรื่องราวร้ายๆ มา Katie ต้องเจอกับหลายๆ อย่างที่เข้ามากระตุ้นความทรงจำในตอนนั้นของเธอให้กลับมาอีกครั้ง แต่เธอก็พยายามเรียนรู้และรับมือกับมัน รวมถึงกลไกป้องกันตัวเองที่มีไว้ปิดกั้นความทรงจำดังกล่าว
และถึงแม้วัยเด็กของเธอจะเลวร้ายมากขนาดไหน แต่ในปัจจุบันเธอก็ได้รับความสุขจากสามีของเธอและลูกๆ ที่น่ารักทั้ง 2 คน เพียงแค่นั้นก็ทำให้เธอมีความสุขกับชีวิตมากจนเกินพอแล้ว
ครอบครัวที่อบอุ่นของเธอ คือกำลังใจที่ดีที่เธอได้รับมาตลอดจนถึงตอนนี้
เราทุกคนเกิดมาเจอในสิ่งที่ต่างกันไป แต่การที่จะผ่านมันมาได้นั้นอาจไม่เกี่ยวว่าสิ่งที่เข้ามาคุกคามมันหนักหนาขนาดไหนเสมอไป แต่สำคัญที่เราสามารถอดทนและจัดการกับสิ่งนั้นได้ดีมากขนาดไหนต่างหาก
ที่มา: dailymail
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.