ความอันตรายของหมีนั้นมีอยู่มากมาย ทั้งกำลังขาที่รวดเร็วพอที่จะทำให้มนุษย์หมดโอกาสวิ่งหนีและกำลังแขนมากพอที่จะทำให้มนุษย์คอบิดกลับหลังด้วยการตะปบเพียงครั้งเดียว
ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่ามนุษย์เราจะลืมความอันตรายของหมีไปกันอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นวันนี้เราจึงนำเรื่องราวของเหตุการณ์หมีสีน้ำตาลโจมตีมนุษย์ที่ร้ายแรงที่สุดมาให้ชมกันเป็นอุทาหรณ์
ในฤดูหนาวปี 1915 ช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่หมู่บ้าน Sankebetsu Rokusen Sawa ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่งทางตะวันตกของเกาะฮอกไกโดเข้าไปในหุบเขา 29 กิโลเมตร ต้องรับศึกกับหมีสีน้ำตาลยักษ์พันธุ์ Ussuri ที่ตื่นขึ้นจากจำศีลเร็วกว่าปกติ มันหิวโซและเริ่มที่จะออกหาอาหาร ด้วยความดุร้ายมันได้สังหารสิ่งมีชีวิตไปนับไม่ถ้วน ทั้งสัตว์ป่าและมนุษย์
เรื่องราวของมันถูกบันทึกไว้อย่างพิถีพิถันโดยคนในสมัยนั้น และทำให้เรื่องราวอันน่าเศร้ายังนี้คงอยู่มาถึงในปัจจุบัน
ทุกอย่างมันเริ่มขึ้นในเช้าวันหนึ่งในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนในปีเดียวกัน เมื่อหมีสีน้ำตาลปรากฎตัวขึ้นที่หน้าประตูบ้านของครอบครัว Ikeda การปรากฎตัวครั้งแรกนั้นจบลงด้วยดีเพราะแม้ว่าหมีจะน่ากลัวแต่มันก็แค่มาขโมยข้าวโพดเล็กน้อยแล้วจากไป แม้ว่ามันจะดูเร็วเกินกว่าเวลาที่ปกติหมีจะออกจากจำศีล แต่การพบสัตว์ป่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกของหมู่บ้านที่เพิ่งจะสร้างเสร็จแห่งนี้
ช่างโชคร้ายที่หมีได้ปรากฎตัวออกมาอีกครั้งในวันที่ 20 พฤศจิกายน ทำให้หัวหน้าครอบครัว Ikeda ตัดสินใจเรียกลูกชายและชาวบ้านจากบ้านใกล้ๆ พวกเขายิงหมีบาดเจ็บได้ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึงอย่างนั้นหมีตัวนั้นก็สามารถหนีกลับเข้าป่าไปได้โดยทิ้งไว้แค่รอยเลือดเท่านั้น
พวกชาวบ้านแกะรอยตามไปยังภูเขา Onishika แต่ไม่สามารถหาตัวหมีพบ พวกชาวบ้านที่เชื่อกันว่าหมีจะไม่กลับมาอีกเพราะพิษบาดแผลจากกระสุนปืน ทำให้พวกเขายกเลิกการค้นหาไป หลังจากนั้นไม่นานนักพวกเขาก็รู้ว่าคิดผิด
หมีสีน้ำตาลกลับมาอีกครั้งในเช้าวันที่ 9 ธันวาคม ที่บ้านของตระกูล Ota ภายในบ้าน Abe Mayu ภรรยาของหัวหน้าตระกูล Ota กำลังดูแลเด็ก (ซึ่งไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือด) ชื่อ Hasumi Mikio
มันได้เข้ามาโจมตีและฆ่าเด็กทิ้งกลางบ้าน หลังจากนั้นก็ลาก Mayu ออกมาจากบ้านในสภาพเละเทะ ร่างของเธอถูกพบและฝังไว้ใต้ต้นไม้และกองหิมะหลังจากนั้น กลุ่มค้นหาของชาวบ้านพบตัวหมีห่างเข้าไปในป่า 150 เมตร
ชาวบ้านห้าคนพยายามจะยิงหมี แต่มีกระสุนที่โดนจริงๆ เพียงแค่นัดเดียว แน่นอนว่าหมีสามารถหนีไปได้อีกครั้ง
พวกชาวบ้านที่หวาดกลัวว่าหมีที่กำลังโมโหและหิวโซจะกลับมาอีกครั้งเพื่อกินเนื้อมนุษย์ ได้รวมชาวบ้านที่มีอาวุธมาวางกำลังป้องกันที่บ้านของตระกูล Ota และเตรียมกำลังเสริมอีกกว่า 50 คนไว้ที่สวนหลังบ้านของตระกูล Miyouke ที่เป็นเพื่อนบ้าน
ในคืนนั้นเองหมีก็กลับมายังบ้านตระกูล Ota ชาวบ้านหนึ่งคนยิงไปที่หมีแต่ว่าพลาด พวกเขาเรียกกำลังเสริม แต่ในตอนที่กำลังเสริมมาถึงหมีตัวนั้นก็ได้หายไปเสียแล้ว
ภาพบ้านที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในสถานที่เกิดเหตุโดยอ้างอิงจากแบบบ้านโบราณในสมัยนั้น
ในขณะเดียวกันที่บ้านของ ตระกูล Miyouke ที่นอกจากจะมียามเฝ้าอยู่กว่าห้าสิบคนแล้วยังมีผู้หญิงและเด็กจำนวนมากอาศัยอยู่อีกด้วย ในจำนวนนั้นรวมไปถึงภรรยาของ Miyouke ที่ชื่อ Yayo
ในตอนที่ยามเดินทางไปบ้านอีกหลังเพื่อเป็นกำลังเสริม พวกผู้หญิงและเด็กก็ถูกปล่อยไว้โดยลำพัง โชคร้ายที่หมีแอบหลบหนีมายังบ้านหลังนี้ได้โดยที่ไม่มีใครรู้
ในตอนที่ Yayo จะออกไปดูเสียงแปลกๆ ที่นอกบ้านนั่นเอง เธอก็พบกับหมีที่ได้เข้ามาหลบอยู่ในบ้าน Yayo ที่พยายามจะหนีสะดุดลูกคนรองของตัวเองล้มในความมืด และระหว่างที่เธอล้มลูกชายที่เธอแบกไว้บนหลังก็ถูกหมีกัดเสียชีวิต
ระหว่างนั้นมียามซึ่งประจำการอยู่นอกบ้านเพียงคนเดียวได้เปิดประตูเข้ามาดูสถานการณ์ หมีที่เห็นเขาจึงทิ้ง Yayo เพื่อมาโจมตีเขาแทนทำให้ Yayo สามารถหนีรอดมาได้
หลังจากนั้นหมีก็กลับไปฆ่าลูกๆ ของ Yayo รวมแล้วเด็กอีกสองคนและสาวท้องแก่อีกหนึ่งคน ทั้งหมดในคืนนั้น
สภาพภายในบ้านที่จำลองมาจากที่เกิดเหตุ
Yayo ที่โชคดีหนีออกมาได้รีบไปแจ้งกองกำลังเสริมที่กลับมามือเปล่า เมื่อพวกเขามาถึงบ้านพวกเขาได้ยินเสียงและมั่นใจว่าหมียังอยู่ในนั้น พวกยามจึงพยายามจะเผาบ้านทิ้งแต่ Yayo ที่คิดว่าอาจจะยังมีคนรอดชีวิตอยู่ในบ้านก็เข้ามาห้ามไว้
กองกำลังเสริมจึงต้องแบ่งออกเป็นสองทีมแยกกันเข้าไปในบ้านพร้อมกันทั้งจากด้านหน้าและหลัง แต่เมื่อหมีโผล่ออกมาทางหน้าบ้านกองกำลังเสริมที่กลัวจะยิงโดนกันเองก็ปล่อยให้หมีหนีไปได้อีกครั้ง หมีตัวนี้ได้ฆ่าคนไปกว่าหกคนภายในเวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้น
หลังจากวันนั้น Yamamoto Heikichi ซึ่งเป็นนักล่าหมีมืออาชีพที่ได้รับการจ้างวานมาโดยหัวหน้าตระกูล Miyouke ให้มากำจัดหมี เขาเชื่อว่าหมีสีน้ำตาลตัวนั้นคือ Kesagake (แปลตรงๆ ว่าการฟันแนวเฉียงจากหัวไหล่) ซึ่งได้ฆ่าผู้หญิงมาก่อนหน้านี้อีกสามคน แต่ถึงอย่างนั้น Heikichi ที่แลกปืนของเขากับเหล้าไปแล้วก็ได้ปฎิเสธการว่าจ้างไป
สองวันต่อมาทางรัฐบาลได้ก่อตั้งหน่วยซุ่มยิงขึ้น น่าแปลกที่หนึ่งในนั้นคือ Heikichi ที่มาพร้อมกับปืนใหม่ของเขา ต่อมาในวันที่ 13 ธันวาคมเจ้า Kesagake ได้บุกมายังบ้านของตระกูล Ota อีกครั้งขโมยเอาอาหารที่เก็บไว้และออกปล้นบ้านไปอีกแปดหลังและกลับเข้าป่าไปก่อนที่จะมีใครทำอะไรมันได้
อนุสาวรีย์เตือนความทรงจำของเหตุการณ์ Sankebetsu
ในคืนวันนั้นเองหน่วยค้นหาที่ตอนนี้มีสมาชิกถึงหกสิบคนและ Heikichi ได้พบเจ้า Kesagake และยิงมันอีกครั้ง แต่น่าเสียดายที่นั่นเป็นอีกครั้งที่มันหนีไปได้ ทีมย่อยทีมหนึ่งถูกตั้งขึ้นโดย Kesagake ได้ออกแกะรอยเลือดหมีเข้าไปในป่า
Heikichi ที่เข้าใจนิสัยของหมี Kesagake เป็นอย่างดี สามารถหามันพบที่ใต้ต้นโอ๊ก เขาตัดสินใจเคลื่อนไหวพร้อมผู่ช่วยเพียงหนึ่งคน เมื่อเข้าไปในระยะ 20 เมตร Heikichi ได้ยิงหมี Kesagake เข้าที่หัวใจก่อนที่จะยิงซ้ำเข้าที่หัวเพื่อปลิดชีพเจ้าหมีลง ศพของ Kesagake นั้นหนักถึง 340 กิโล และสูงเกือบ 240 เซนติเมตร
หุ่นจำลองของเจ้าหมี Kesagake
หลังจากเหตุการณ์นั้นหมู่บ้าน Sankebetsu Rokusen Sawa ได้กลายเป็นหมู่บ้านร้างเพราะชาวบ้านหวาดกลัวว่าอาจจะมีหมีเข้ามาในหมู่บ้านอีก
ผู้คนจำนวนมากเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะการบุกรุกป่าของชาวบ้านทำให้แหล่งหากินของสัตว์ลดลง หมีที่ตื่นขึ้นมาก่อนเวลาอันควรจึงเข้าใกล้กับบริเวณหมู่บ้านมากเกินไป บวกกับความหิวทำให้มันดุร้ายมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตามปกติแล้วหมีมักจะไม่โจมตีมนุษย์นอกเสียจากว่ามนุษย์จะไปขัดขวางการหาอาหารของมัน
ทุกวันนี้ที่หมู่บ้านจะมีศาลเจ้ากลางป่าที่สร้างขึ้น ชื่อว่า “ศาลเจ้าที่ระลึกของเหตุการณ์หมีสีน้้ำตาลแห่ง Sankebetsu” ที่นั่นความทรงจำของทุกคนในเหตุการณ์และสิ่งปลูกสร้างได้ถูกสร้างขึ้นอีกครั้งเพื่อเป็นอุทาหรณ์ของความโหร้ายและน่ากลัวของเจ้าหมีสัน้ำตาลชื่อ Kesagake
ที่มา Thevintagenews
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.