ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่พยายามเอาชนะโรคร้ายเพราะอยากมีชีวิตอยู่ต่อให้นานขึ้น แต่สำหรับเด็กชายคนหนึ่ง เขาอดทนต่อสู้กับมะเร็งร้าย หวังจะได้พบกับน้องสาวที่กำลังจะลืมตาดูโลก
Brave Bailey เด็กชายวัย 9 ขวบ บอกกับพ่อแม่หลังจากที่น้องสาวของเขาเกิดมาว่า “ถึงเวลาแล้วที่ผมจะไปเป็นเทพผู้พิทักษ์ของเธอ”
กระทั่งตอนเที่ยงของวันคริสต์มาสอีฟ พ่อแม่ได้จับมือลูกชายเอาไว้แน่น พร้อมหลั่งน้ำตาออกมาและเฝ้าดูลูกจนลมหายใจสุดท้าย…
พ่อแม่ของเด็กชาย Lee และ Rachel ได้เปิดเรื่องราวสุดสะเทือนใจของลูกชายเมื่อตอนที่กำลังจะตายว่าเขาได้อดทนต่อสู้กับมะเร็งเวลานาน เพื่อรอเจอน้องสาวที่กำลังจะเกิดมาและขอเป็นคนตั้งชื่อให้เธอด้วย
ทางด้านคุณหมอที่ให้การรักษาบอกว่า Bailey จะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนเท่านั้น เพราะมะเร็งได้แพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขาแล้ว
แต่ไม่น่าเชื่อว่าเด็กชายจะอดทนได้ถึง 15 เดือน ผ่านการรักษานับครั้งไม่ถ้วน เขายิ้มให้ทุกความเจ็บปวด จนในที่เขาก็ได้เจอกับน้องสาวตัวน้อย ก่อนจะตั้งชื่อให้เธอว่า Millie
สำหรับโรคร้ายของ Bailey มันได้เริ่มขึ้นในช่วงฤดูร้อนของปี 2016 เมื่อเด็กชายรู้สึกไม่สบายและได้ไปโรงพยาบาลในเดือนกันยายน
ตอนแรกคุณหมอคิดว่าเขาอาจจะติดเชื้อไวรัส แต่หลังจากที่รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ อาการของเขาก็ยังไม่ดีขึ้น กลับแย่ลงกว่าเดิมอีก
เด็กชายเริ่มปวดท้องอย่างรุนแรง คุณหมอจึงเจาะเลือดไปตรวจอีกครั้ง และผลที่ออกมาคือเขาเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิด Non-Hodgkin’s Lymphoma (NHL) ซึ่งตอนที่ตรวจพบ มะเร็งได้ก่อตัวอยู่ในระยะที่สามแล้ว
Lee บอกว่า “ก่อนที่จะพาเขาไปโรงพยาบาล เราไม่รู้อะไรเลย เราคิดว่าอีกเดี๋ยวก็คงหาย แต่ก็รู้สึกเอะใจอยู่นิดหน่อย แต่อาการของเขาแย่ลงเรื่อยๆ จนคุณหมอบอกว่าเขาต้องเข้ารับการรักษาแล้ว”
นั่นทำให้เด็กชายเริ่มต้นรับการรักษาด้วยเคมีบำบัดทันที พร้อมกับยาสเตียรอยด์ ตอนนั้นคุณหมอคิดว่า Bailey จะดีขึ้น กระทั่งเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2017 อาการของเขาก็ดีขึ้นจริงๆ
“พวกเขาคิดว่ามะเร็งจะไม่กลับมาอีก เราจึงพาเขากลับมาอยู่บ้านและไปโรงเรียนตามปกติ แต่ก็ยังต้องไปตรวจสุขภาพสามเดือน 1 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็ไม่พบความผิดปกติอะไร” Lee เล่า
กระทั่งวันอีสเตอร์ หลังจากที่ Bailey เพิ่งทำ MRI ครั้งแรกและคุณหมอค่อนข้างมั่นใจว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ดังนั้นครอบครัวจึงพากันไปเที่ยวพักผ่อนที่เดวอน ในประเทศอังกฤษ
คุณพ่อเล่าต่อว่า “แต่แล้วในวันถัดมา ขณะที่เรากำลังอยู่ในสวนสัตว์ Paignton Zoo คุณหมอจากโรงพยาบาลก็โทรเข้ามา และบอกให้เราพาลูกชายกลับไปหาเขาทันที ตอนนั้นเราสังเกตเห็นว่า Bailey มีอาการหอบและเหนื่อย”
หลังจากที่ได้ตรวจร่างกายแล้ว ผลออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่คุณหมอบอกว่าเขามีโอกาสรอดชีวิตถึง 70% เด็กชายจึงต้องเริ่มทำคีโมอีกครั้ง
ต่อมาคุณหมอได้แจ้งข่าวร้ายอีกครั้งว่าต่อให้เด็กชายรอดจากครั้งนี้ไป แต่มันส่งผลกระทบต่อชีวิตของเขาในระยะยาว และเขาต้องปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด
เมื่อผู้เป็นพ่อเป็นแม่ได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงพยายามทำทุกอย่างที่จะทำได้เพื่อช่วยลูกชาย ทางด้าน Bailey เองก็ต่อสู้อย่างหนักจนพ้นขีดอันตรายอีกครั้งในปลายเดือนกรกฎาคม
Rachel บอกว่า “เขาได้กลับมาอยู่บ้านกับเราเป็นเวลา 6 เดือน มันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก”
แต่แล้วในเดือนสิงหาคม มะเร็งร้ายก็กลับมาอีกครั้งและครั้งนี้มันอาจจะรักษาไม่หายแล้ว เพราะมะเร็งลามขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ในระยะที่สี่แล้ว
มะเร็งได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ที่ร้ายกว่านั้นคือคุณหมอพบก้อนเนื้อในหน้าอก ปอด ตับ และกระเพาะอาหารของเด็กชาย
คุณพ่อเล่าว่า “หมอบอกว่าเราว่าเขาจะมีเวลาอยู่ได้อีกไม่นาน อาจจะไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ตอนนั้น Bailey แค่ 9 ขวบเอง แต่เราจำเป็นต้องบอกความจริงกับเขา”
“หลังจากที่รู้ความจริง เขาพูดกับเราว่า ‘ผมไม่อยากไปเลย’ ตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออก ได้แต่อยู่ข้างเขา กอดเขาเอาไว้ ผ่านไปประมาณ 2-3 ชั่วโมง เขาก็ยิ้มให้เราแล้วพูดว่า ‘กลับบ้านกันเถอะ’”
มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากสำหรับ Lee และ Rachel เพราะพวกเขาทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่กำลังจะสูญเสียลูกชายที่รักไป
ผู้เป็นแม่เล่าว่า “มันเป็น 3 เดือนสุดท้ายที่น่ากลัวมาก เรารู้ว่าเขามีเวลาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว แต่เราก็พยายามทำให้เขามีความสุขที่สุดจนกว่าวันนั้นจะมาถึง”
เด็กชายเองก็รู้ตัวดีว่าเขากำลังจะจากโลกนี้ไปในไม่ช้านี้ เขาจึงเริ่มวางแผนงานศพของตัวเอง และต้องการให้คนที่มางานศพแต่งตัวด้วยชุดซูเปอร์ฮีโร่
Bailey ต้องกินยาเพื่อบรรเทาความเจ็บและคอยช่วยเหลือตัวเองเล็กๆ น้อยๆ ในส่วนที่ทำได้ แต่ถึงอย่างนั้นโรคร้ายก็ยังทวีความรุนแรงขึ้นในทุกสัปดาห์
เราไม่คิดว่าเขาจะทนอยู่ในสภาพนั้นได้นาน แต่เขากลับทำได้ดีเกินความคาดหมายเพราะอยากพบน้องสาวที่อยู่ในท้องแม่ กระทั่งปลายเดือนพฤศจิกายน Millie ก็ได้ลืมตาดูโลก
เด็กชายกอดน้องสาวและทำทุกอย่างที่พี่ชายควรจะทำให้น้อง เขาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เธอ อาบน้ำให้เธอ และร้องเพลงให้เธอฟัง
คุณแม่เล่าว่า “อาการของเขาแย่ลงเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์ เขาใช้เวลาในการนอนมากขึ้น บางครั้งก็หลับลึกจนไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกของเรา มันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากจริงๆ สำหรับเราทุกคน”
อาการของเด็กชายทรุดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ได้เจอน้องสาว แต่เขาพูดกับน้องสาวว่า “พี่อยากอยู่ต่อนะ แต่มันถึงเวลาแล้วที่พี่ต้องไปเป็นเทพผู้ทักษ์ของเธอแล้ว”
จนกระทั่งวันศุกร์ ที่ 22 เดือนธันวาคม เด็กชายถูกหามส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน หลังจากที่เขาไม่มีการตอบสนองใดๆ เนื่องจากมะเร็งได้ทำร้ายร่างกายของเขาจนพังไปหมด
ครั้งนี้ถึงเวลาที่เด็กชายต้องจากไปแล้วจริงๆ คุณหมอจึงฉีดยาระงับความรู้สึกให้ และระว่างที่ยาค่อยๆ ออกฤทธิ์และเด็กชายกำลังจะหมดความรู้สึกนั้น พ่อแม่ได้อยู่ข้างๆ เขา อ่านนิทานให้ฟัง และร้องเพลงโปรดของเขา
คุณแม่บอกว่า “เวลา 11.45 น. เราบอกกับเขาว่า ‘ถึงเวลาที่ลูกต้องไปแล้วนะ Bailey’ หลังจากที่พูดจบ เขาหายใจเข้าเป็นครั้งสุดท้ายและมีน้ำตาไหลมาจากตาของเขา เขาจากไปอย่างสงบแล้ว”
แม้จะเสียใจ แต่พ่อแม่ก็โล่งใจที่อย่างน้อยลูกก็ไม่ต้องอยู่กับความเจ็บปวดอีกแล้ว “แต่สิ่งที่ยากที่่สุด การต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีเขา” คุณแม่กล่าว
“เราต้องอยู่ต่อไปเพื่อ Bailey เขาบอกกับเราในการประชุมครอบครัวครั้งสุดท้ายว่า ‘ทุกคนได้รับอนุญาตให้ร้องไห้แค่ 20 นาทีเท่านั้น’ และบอกให้เราใช้ชีวิตที่ดูแลพี่น้องของเขาให้ดีที่สุด”
ที่มา mirror
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.