การนำสัตว์หรือมนุษย์ไปใช้เป็นเครื่องบูชายัญเป็นสิ่งที่เราสามารถพบเห็นได้จากประวัติศาสตร์เก่าแก่ ซึ่งในปัจจุบันวิธีการทำนองนี้ไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่เราสามารถยอมรับได้ ด้วยความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ที่ช่วยแก้ปัญหาหลายๆ อย่างได้ บวกกับความโหดร้ายป่าเถื่อน พิธีกรรมเหล่านั้นจึงเริ่มหายสาบสูญไปจนหมด
วันนี้เราจะชวนให้ทุกคนลองย้อนกลับไปดูว่า ในสมัยอดีตกาลเคยมีพิธีกรรมหรือวิธีการฆ่ามนุษย์แบบไหนบ้าง และมันเลวร้ายมากขนาดไหน ว่าแล้วก็ลองไปอ่านเรื่องราวทั้งหมดนั้นกันเลย
1. จากคำบอกเล่าของนักคิดชาวโรมันในสมัยก่อนที่ชื่อ Strabo เขาบอกว่าชาวเซลติกโบราณที่อาศัยอยู่บนเกาะอังกฤษ ใช้วิธีการจับสัตว์และมนุษย์มาผูกไว้กับหุ่นฟางแล้วเผาทั้งเป็น
โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้เป็นเครื่องบรรณาการบูชาพระเจ้า ซึ่งนักโบราณคดีในปัจจุบันยังไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ เพราะมันอาจเป็นการเป่าหูทำให้ชาวเซลติกกลายเป็นคนเถื่อนเท่านั้นเอง
2. ชาวโรมันสมัยก่อนได้คิดวิธีการลงโทษผู้คนอย่างโหดร้ายและพยายามทำให้มันเหมือนเป็นเรื่องตลก โดยจะจำลองให้คนเหล่านั้นตายเหมือนเทพที่อยู่ในตำนานปรัมปรา
อย่างการเผาทั้งเป็นให้เหมือนกับ Hercules บางคนถูกล่ามโซ่แล้วฉีกเอาอวัยวะภายในออกมาเหมือนอย่างที่เทพ Prometheus ต้องเจอ
ผู้หญิงบางคนถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับกระทิง เหมือนอย่างเทพผู้เป็นมารดาของกระทิงทั้งปวง Pasiphae ซึ่งหากผู้หญิงคนนั้นสามารถรอดชีวิตมาได้ เธอก็จะถูกฆ่าอยู่ดี
3. ชาวกรีกโบราณมีเครื่องประหารชนิดหนึ่งชื่อว่า The Brazen Bull ทำจากทองแดงและมีลักษณะรูปร่างเหมือนกระทิง
วิธีการใช้งานก็คือให้คนโดนลงโทษเข้าไปอยู่ข้างใน แล้วจึงจุดไฟเผาจากด้านนอกจนถึงแก่ความตาย ระหว่างนั้นเสียงที่ร้องโหยหวนออกมาจะเหมือนกับเสียงร้องไห้ของกระทิง
4. ในประเทศญี่ปุ่นจะมีความเชื่อที่เรียกว่า Hitobashira โดยจะฝังคนเป็นๆ ลงไปข้างใต้พื้นหรือในกำแพงของสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นสำเร็จลงได้ด้วยดี
ซึ่งคนที่ถูกฝังส่วนใหญ่จะเป็นอาสาสมัคร อย่างเช่นเหล่าซามูไรที่ต้องการใช้จิตวิญญาณ อยู่เฝ้ารักษาปราสาทหรือวัดต่างๆ
5. ในหลายๆ ที่ทั่วโลกมีการฝังร่างของผู้ชาย ผู้หญิง หรือเด็กลงไปในกำแพงหรือสะพาน ซึ่งเราสามารถพบเจอความจริงเหล่านั้นได้ ในตอนที่สิ่งปลูกสร้างดังกล่าวพังทลายลง
อย่างเช่นการค้นพบศพผู้หญิงในตอนที่ปราสาทของชาวเยอรมันที่ชื่อว่า Nieder Manderscheid มีการพังทลายลงมาในปี 1844
6. ชาวแอซเท็กโบราณจะนำนักโทษมาขุนให้อ้วนแล้วจึงค่อยควักหัวใจออกมาบูชาเทพเจ้าแห่งพระอาทิตย์ จากนั้นศพจะถูกปล่อยกลิ้งลงมาตามบันไดของปีระมิด
ซึ่งศพเหล่านั้นก็จะไม่ได้ถูกทิ้งไว้เฉยๆ พวกแขนขาจะถูกมอบให้คนที่จับนักโทษคนนั้นมาได้ แล้วพวกเขาก็จะเอาไปทำเป็นอาหารกินกัน
ส่วนหัวจะถูกนำไปตั้งโชว์ในสถานที่ทางศาสนาความเชื่อ และช่วงล่างของศพจะกลายเป็นอาหารสัตว์
7. ในประเทศฟีจีสมัยก่อน พวกเขามีความเชื่อว่าการแต่งงานกันช่วยให้ได้มีชีวิตอยู่ในโลกหลังความตาย โดยภรรยาจะต้องติดสอยห้อยตามสามีอยู่เสมอ เพราะไม่อย่างนั้นพวกเธอจะถูกคนในสังคมคว่ำบาตร
ถ้าสามีคนไหนมีอาการป่วย ฝ่ายภรรยาจะเตรียมหลุมศพของตัวเองเอาไว้ เพราะหากสามีตายเมื่อไหร่พวกเธอก็ต้องตามเขาไปเช่นกัน
แต่ทางฝ่ายสามีไม่จำเป็นต้องตายหรือถูกฆ่าเหมือนอย่างภรรยา เมื่อไหร่ที่ฝ่ายหญิงตาย พวกเขาก็เพียงแค่โกนขนตามร่างกายไปไว้ใต้รักแร้ของศพภรรยาเท่านั้นเอง
8. โรมยุคโบราณจะมีเทพธิดาประจำหมู่บ้านที่เรียกว่า Vestal Virgins โดยจะเลือกหญิงสาววัยแรกรุ่นขึ้นมาทำหน้าที่ กล่าวสาบานว่าจะเก็บรักษาพรหมจรรย์ของตัวเองเอาไว้นาน 30 ปี หากใครผิดคำพูดจะต้องถูกขังให้พบกับความตาย หรือจะต้องถูกฝังทั้งเป็น
9. กฎของชาวมองโกลโบราณคือห้ามให้กษัตริย์เปื้อนเลือดโดยเด็ดขาด ทำให้พวกเขาคิดวิธีการฆ่าชาวบ้านหรือศัตรูโดยที่ไม่มีเลือดพุ่งออกมาโดน อย่างเช่นการบิดคอเพียงครั้งเดียวทำให้ไม่มีเลือดไหลออกมา
หรืออย่างตอนที่เจ้าชาย Mstislav III แห่งอาณาจักร Klev ถูกชาวมองโกลจับตัวมา เขาและนายพลกองทัพคนอื่นๆ ถูกจับตรึงและมีแผ่นไม้วางไว้เหนือหัว ก่อนที่ชาวมองโกลจะไปเฉลิมฉลองบนแผ่นไม้ดังกล่าว ให้มันค่อยๆ ลงมาทับร่างของเจ้าชายคนนั้น
10. ช่วงการจลาจลของชาวดัตช์ในศตวรรษที่ 16 พวกเขาจะทำการฆ่านักโทษทางการเมืองด้วยการนำหม้อหรือกรงที่เต็มไปด้วยหนูมาวางเอาไว้บนร่างของเหยื่อ หลังจากนั้นจะนำถ่านร้อนๆ มาวางไว้บนกรง เพื่อให้หนูวิ่งหนีจากความร้อนด้วยการแทะลงไปในท้องของเหยื่อ
11. ในประเทศสวีเดนช่วงยุคกลาง พวกเขาจะกักขังนักโทษเอาไว้ในถ้ำที่ชื่อว่า Cave of Roses ซึ่งเต็มไปด้วยแมลงและสัตว์เลื้อยคลานมีพิษนับพัน
นักโทษเหล่านั้นจะต้องเจอกับความมืด ทำให้ไม่รู้ว่าสัตว์มีพิษเหล่านั้นจะเข้ามาโจมตีเมื่อไหร่ หรือถ้าตอนที่มีแสงสว่างเพียงพอ พวกเขาก็จะได้เห็นนักโทษคนอื่นๆ ล้มตายลงไปพร้อมๆ กัน
ที่มา: buzzfeed
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.