นักศึกษาหลายๆ คนอาจประสบปัญหาเงินไม่พอใช้ในชีวิตประจำวันหรือไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ทำให้ต้องหางานเสริมทำระหว่างเรียน แต่สำหรับเธอคนนี้กลับมีรายได้ที่ต่างออกไป เพราะเธอไม่ได้รับเงินจากงานแต่เธอรับเงินจาก “ป๊ะป๋า” ที่ช่วยส่งเสียค่าเล่าเรียนให้เธอ ซึ่งเราอาจจำกัดความได้ว่าเธอคือ “เด็กเสี่ย” นั่นเอง
นี่คือเรื่องราวของ Jessica นักศึกษาสาววัย 20 ปี ลูกครึ่งออสเตรเลีย-เวียดนาม เธอกำลังศึกษาอยู่ในคณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย แต่ขณะที่เธอกำลังตั้งหน้าตั้งตาเรียนอยู่นั้น หญิงสาวก็ได้ไปเจอกับเว็บไซต์หนึ่งที่ทำให้การใช้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป
Jessica เล่าว่าในตอนแรกนั้นเธอได้เห็นคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการมองหารายได้เสริม ทำให้เธอรู้จักกับเว็บไซต์ที่มีไว้สำหรับการนัดเดตกันระหว่างเด็กเสี่ย (Sugar Baby) และ ป๊ะป๋า (Sugar Daddy) ซึ่งหมายถึงเสี่ยที่จะคอยช่วยเลี้ยงดูพวกเธอ
เธอได้เห็นการใช้ชีวิตของเด็กเสี่ยหลายๆ คนที่ได้รับข้อเสนอในเรื่องการจ่ายค่าเทอมและค่าใช้จ่ายต่างๆ ทำให้เธอเกิดความสนใจขึ้นมาและสมัครเป็นสมาชิกของเว็บไซต์นั้น
ด้วยความที่เธอเป็นคนตั้งใจเรียน หุ่นดี เป็นถึงเชียร์ลีดเดอร์และคุณครูสอนร้องเพลง ทำให้ผู้ชายจำนวนมากรู้สึกสนใจและส่งข้อความมาหาเธอ แต่ข้อความส่วนใหญ่นั้นจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอต้องการ เพราะผู้ชายบางคนติดต่อหาเธอเพื่อการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ผูกมัด หรือข้อเสนอที่จะจ่ายเงินให้กับเธอทุกครั้งที่ออกไปเดตกับเขาเท่านั้นเอง
เธอบอกว่าการจะเป็นเด็กเสี่ยไม่ใช่การรับเงินเป็นครั้งคราวหรือการมีเพศสัมพันธ์กันเพียงอย่างเดียว เพราะเด็กเสี่ยไม่ใช่ผู้หญิงขายบริการ สิ่งที่สาวๆ อย่างเธอต้องการคือความสัมพันธ์ระยะยาวที่ทำให้พวกเธอสามารถมั่นใจได้ว่า จะมีรายได้จากชายคนนั้นเข้ามาอยู่เสมอ
เมื่อหญิงสาวเข้าใจแล้วว่าตัวเองสมัครเข้ามาเพราะอะไร เธอก็ใช้เวลาเป็นเดือนๆ ในการหาคนที่จะเข้ามาดูแลการเงินของเธอได้ แล้วเธอก็ได้พบกับป๊ะป๋าสองคนวัย 27 ปี และ 40 ปี
เสี่ยทั้งสองคนเป็นถึงนักธุรกิจและเจ้าของบริษัทที่ประสบความสำเร็จ ทำให้เธอสามารถวางใจเรื่องเงินได้อย่างแน่นอน และสำหรับชายทั้งสองเองก็ไม่ได้ต้องการหญิงสาวที่เรียกร้องหรืออยากเจอพวกเขาอยู่ตลอด เพราะการเป็นนักธุรกิจทำให้พวกเขาไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น
Jessica เล่าว่า “ป๊ะป๋าของฉันคนหนึ่งอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่อื่นทำให้ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อย จะเจอบ้างก็แค่ตอนที่ไปเที่ยวหากันเท่านั้นเอง ซึ่งเขาคนนี้จะไม่ได้ให้เงินฉันแต่เขาจะจ่ายค่าเทอมให้ฉันและหาของขวัญมาให้ฉันเป็นครั้งคราวไป โดยเราจะคุยกันทุกวันจนทำให้พวกเรารู้สึกสบายใจเวลาอยู่ด้วยกัน”
ส่วนป๊ะป๋าคนที่สองของเธอคือคนที่ให้เงินเธอประมาณ 130,000 ถึง 160,000 บาททุกๆ เดือน และจะได้ออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันอาทิตย์ละครั้ง
เธออธิบายว่าการที่เธอเป็นเด็กเสี่ย เธอจะสามารถตัดสินใจได้เองว่าอยากมีเพศสัมพันธ์กับป๊ะป๋าของเธอหรือไม่ มันไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นเพราะหน้าที่ของเธอคือการทำให้พวกเขามีความสุขเท่านั้นเอง และพวกเขาก็จะเป็นคนจัดการเรื่องเงินให้กับเธอ
ถึงแม้ว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้น แต่เธอก็คิดว่ามันมีความเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน เพราะเธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองสนิทสนมและมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับเหล่าป๊ะป๋ามากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
จากการใช้ชีวิตเป็นเด็กเสี่ยมาซักระยะหนึ่ง Jessica ก็บอกว่าเธอไม่เคยเจอกับเรื่องแย่ๆ เลย อย่างมากก็แค่รู้สึกกระอักกระอ่วนในตอนแรกที่เจอกันเท่านั้นเอง
ตอนนี้หญิงสาวได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย มีคนจ่ายค่าเทอมให้ มีเงินไว้ใช้ในแต่ละวัน รวมถึงข้าวของแพงๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือแม้แต่กระเป๋าหรูๆ อีกทั้งเธอยังจะได้ไปเที่ยวฮาวายแบบฟรีๆ กับป๊ะป๋าคนหนึ่งของเธออีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าชีวิตของเธอในตอนนี้อาจทำให้หลายๆ คนอิจฉาไปบ้าง แต่เธอมองว่านี่เป็นวิธีการมีรายได้แบบที่ไม่ยั่งยืนตลอดไป เธอเลือกที่จะเก็บเงินที่เธอได้รับจากป๊ะป๋า และใช้แค่รายได้จากการทำงานพาร์ตไทม์
หญิงสาวตั้งใจเอาไว้ว่าจะเป็นเด็กเสี่ยจนกระทั่งเรียนจบแล้วมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ใช้เงินไปอย่างฟุ่มเฟือย แต่เก็บหอมรอมริบเอาไว้เผื่อใช้ในอนาคตข้างหน้า
Jessica คือหนึ่งคนที่เป็นเด็กเสี่ยอย่างชัดเจน ซึ่งจากข้อมูลสถิติในประเทศออสเตรเลีย ยังคงมีนักเรียนนักศึกษาอีกกว่า 100,000 ที่เป็นเด็กเสี่ยเหมือนกับเธอคนนี้ โดยพวกเขาเหล่านั้นจะมีรายได้ต่อเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 92,000 บาทเลยทีเดียว
นับว่าเป็นอีกมุมมองของคำว่าเด็กเสี่ยที่เรามักจะใช้กันอย่างติดปาก โดยเป็นประสบการณ์จริงของหญิงสาวคนหนึ่ง ใช่ว่าเราจะต้องไปใช้ชีวิตแบบเธอเสมอไปหรอกนะ ทุกอย่างย่อมมีทั้งดีและร้ายอยู่แล้วล่ะ
ที่มา: dailymail
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.