หลังจากที่ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีมาตรการตรวจสอบผู้อพยพอย่างเข้มงวด ชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในอเมริกาจึงล้วนได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้กันถ้วนหน้า
เนื่องจากผู้ที่ไม่ได้มีเชื้อสายอเมริกัน หรือกระทั่งเป็นผู้อพยพที่แม้จะมีครอบครัวในสหรัฐอเมริกานั้น ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศอเมริกาโดยถูกกฎหมายอีกต่อไป
ชายชาวเม็กซิกันคนนี้ชื่อว่า Jorge Garcia วัย 39 ปี จำเป็นต้องจากครอบครัวเนื่องจากกฎหมายผู้อพยพของสหรัฐนั้นมีข้อบังคับให้เขาต้องกลับไปอยู่ที่ประเทศบ้านเกิดที่เม็กซิโก
ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองอาศัยอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกามาตั้งแต่อายุ 10 ขวบ รวมแล้วเป็นเวลา 29 ปี
เขาใช้ชีวิตเป็นชาวสวนอยู่ในสหรัฐอเมริกาอย่างเงียบๆ มาจนกระทั่งปี 2005 ที่เขาและภรรยาเริ่มช่วยกันต่อสู้เพื่อให้ Jorge มีสิทธิ์โดยชอบธรรมในการอาศัยอยู่ในอเมริกา
จากนั้นในปี 2009 หน่วยงาน ICE ได้แจ้ง Jorge ล่วงหน้าว่าจะต้องถูกเนรเทศออกนอกประเทศ
ขณะนั้นเองก็มีนโยบาย DACA ที่ Barack Obama อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐได้ออกมาเพื่อครอบคลุมผู้อพยพ โดยมีเงื่อนไขว่าหากผู้ที่มีอายุไม่เกิน 31 ปี ในปี 2012 จะสามารถต่ออายุเพื่ออาศัยอยู่ในประเทศได้
แต่โชคไม่ดีที่ในเวลานั้น Jorge มีอายุได้ 32 ปี ซึ่งเกินมา 1 ปี ซึ่งทำให้เขาที่เป็นชาวเม็กซิกันคนเดียวในครอบครัว จำเป็นต้องถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศเม็กซิโกประเทศบ้านเกิดของเขา
ในวินาทีสุดท้ายที่เขาและครอบครัวใช้เวลาร่วมกัน ภรรยาของเขาจึงกล่าวโทษ Donald Trump ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐอเมริกา ที่ดำเนินการเรื่องกฎหมายผู้อพยพอย่างเข้มงวดและเด็ดขาด ว่าเป็นผู้ที่พรากสมาชิกครอบครัวออกจากกัน
“พวกเราได้ประธานาธิบดีคนใหม่ และสิ่งที่เขาทำก็คือ ทำให้ครอบครัวแยกจากกัน เจอแบบนี้ฉันหวังว่าทุกคนจะมีความสุขนะ” เธอกล่าว
โดยในวันส่งตัว Jorge ที่สนามบินก็ได้มีประชาชนมากมายเข้ามาร่วมชูป้ายประท้วงที่เขียนว่า “หยุดการพรากครอบครัวออกจากกัน”
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง จนหลายครอบครัวจำเป็นต้องแยกจากกันอย่างที่เห็น
ที่มา: Dailymail
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.