18 เหตุผลที่คุณควรไปเยือน ‘ไอซ์แลนด์’ และย้ายไปอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดไปปป…

ประเทศไอซ์แลนด์ คือหนึ่งในสถานที่ที่คนในบ้านเราอาจไม่ค่อยนิยมเดินทางไปเที่ยวกันมากเท่าไหร่นัก จึงอาจทำให้หลายๆ คนยังไม่รู้ว่าธรรมชาติและวัฒนธรรมของประเทศนี้มีความสวยงามไม่แพ้ที่อื่นเลยเหมือนกัน

เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพและเข้าใจไปพร้อมๆ กันว่าที่นี่น่าอยู่มากขนาดไหน เราจึงชวนให้เพื่อนๆ ไปทราบถึง 18 เหตุผลที่จะบอกว่าคุณควรไปเที่ยวไอซ์แลนด์ซักครั้งหรือไม่ก็อาศัยอยู่ที่นั่นซะเลยยย

 

1. แช่น้ำอุ่นๆ ใน Blue Lagoon

Blue Lagoon คือหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมของประเทศนี้ คุณจะได้ลงไปแช่น้ำที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุดีต่อสุขภาพ เยียวยาสุขภาพกายและสุขภาพใจไปพร้อมๆ กัน

 

2. เสื้อกันหนาวของชาวไอซ์แลนด์

เสื้อหนาวขนสัตว์แบบเฉพาะของชาวไอซ์แลนด์มีชื่อเรียกว่า Lopapeysa มีความเป็นเอกลักษณ์และจะช่วยให้คุณได้เข้าถึงบรรยากาศแบบไอซ์แลยด์ไปอีกขั้น ใครไปเที่ยวก็อย่าลืมหามาใส่กันซักตัวนะ

 

3. ภาพของแสงเหนือที่น่าหลงใหล

หากคุณต้องการจะสัมผัสปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าจดจำแบบนี้ เราขอแนะนำให้ไปเที่ยวในช่วงฤดูหนาวของไอซ์แลนด์ (กลางเดือนกันยายน – กลางเดือนเมษายน) แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่รับประกันว่าคุณจะมีโอกาสได้เห็นมันอย่างแน่นอน ถือซะว่าเป็นการวัดดวงไปในตัวด้วยละกัน

 

4. ฮอตดอกจากร้าน Bæjarins Beztu Pylsur

เรียกว่าเป็นร้านฮอตดอกเจ้าดังที่สุดในไอซ์แลนด์เลยก็ว่าได้ เพราะบางคนถึงกับบอกว่าฮอตดอกร้านนี้อร่อยที่สุดในโลกเลยจริงๆ หากใครอยากชิมก็คงต้องมีความอดทนซักเล็กน้อย เพราะคุณจะต้องยืนต่อคิวนานเป็นชั่วโมงๆ

 

5. ม้าสายพันธุ์ไอซ์แลนดิก

ม้าสายพันธุ์นี้ขึ้นชื่อว่ามีความเป็นเอกลักษณ์มากที่สุดและยังเป็นมิตรต่อคนมากที่สุดในโลก อีกทั้งยังมีแผงคอที่น่ารัก สวยงามมากที่สุดอีกด้วย

 

6. ประเพณี Rúntur

เป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงอย่างมากของชาวไอซ์แลนด์ ซึ่งมักจะจัดขึ้นในช่วงกลางดึกยาวไปจนถึงช่วงรุ่งสาง โดยจุดประสงค์หลักของงานนี้คือการดื่มแอลกอฮอล์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียกว่าเป็นประเทศที่รักการดื่มกันมากจริงๆ

 

7. นกพัฟฟิน

เป็นนกที่หาดูได้ค่อนข้างยาก แต่ความสวยงามของมันนั้นบอกเลยว่าคุ้มค่ากับการที่จะได้เห็นมันมากจริงๆ หากใครได้ไปเที่ยวก็อย่าลืมหาเวลาว่างออกไปสำรวจนกตามพื้นที่ป่าดูบ้างนะ

 

8. ภูเขาไฟ Thrihnukagigur

ใครที่ชื่นชอบการผจญภัย เราขอแนะนำให้คุณลองปีนลงไปเที่ยวชมบรรยากาศภายในของภูเขาไฟแห่งนี้ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะเป็นอันตราย เพราะครั้งสุดท้ายที่มันปะทุก็ผ่านมานานกว่า 4,000 ปีแล้ว

 

9. ถนน The Ring Road

ถนนสายนี้เชื่อมต่อเกือบจะทุกเมืองหรือหมู่บ้านในประเทศไอซ์แลนด์ เราจึงขอแนะนำให้คุณได้ลองขับรถกินลมชมวิวไปตามทางดู หลังจากนั้นคุณจะได้เก็บไปบอกให้คนอื่นรู้ว่าเราเคยเดินทางมาเกือบทั่วประเทศนี้แล้ว

 

10. เทศกาลดนตรี

เทศกาลดนตรีของที่นี่เต็มไปด้วยแนวดนตรีหลากสไตล์ พร้อมด้วยผู้คนที่สนุกสนานไปกับเสียงเพลงเหล่านั้น ซึ่งหากใครชอบดูคอนเสิร์ตหรือโยกไปตามจังหวะมันๆ ก็คงต้องลองไปเจอกับตัวเองซักครั้งดูแล้วล่ะ

 

11. น้ำตกสายรุ้ง Skógafoss

ที่นี่คือหนึ่งในน้ำตกที่ใหญ่และสวยงามมากที่สุดในไอซ์แลนด์ การแตกกระจายของน้ำทำให้เกิดเป็นสายรุ้งทอดผ่าน หรือในบางครั้งคุณอาจจะเห็นสายรุ้งถึงสองสายด้วยกันในวันที่มีอากาศค่อนข้างอบอุ่น

 

12. Brennivin

เจ้าสิ่งนี้คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูตรเฉพาะของประเทศนี้ ชื่อของมันมีความหมายว่า “ไวน์ที่เผาไหม้” ซึ่งถูกกลั่นมาจากมันฝรั่งและเมล็ดยี่หรา เหมาะสำหรับให้เหล่านักดื่มได้ไปลิ้มลอง

 

13. ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่

คุณสามารถพบเห็นธารน้ำแข็งได้ในหลายๆ แห่งของประเทศ ซึ่งพวกมันจะมีความสวยงาม น่าจดจำ และแตกต่างกันไปในแต่ละที่

 

14. สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์

ไอซ์แลนด์คือหนึ่งในสถานที่ที่หนังดังหลายๆ เรื่องเลือกที่จะเข้าไปถ่ายทำ อย่างเช่นเรื่อง Prometheus, Lara Croft: Tomb Raider หรือแม้แต่ซีรีส์ Game of Thrones

 

15. เนื้อฉลาม

เนื้อฉลาม หรือที่เรียกว่า Kæstur hákarl คืออาหารประจำชาติของที่นี่ ซึ่งเป็นการนำเนื้อของฉลามกรีนแลนด์มาหมัก ทำให้ได้รสชาติที่ดี เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการกินทั้งหลาย

 

16. จุดเชื่อมระหว่างสองทวีป

Silfra คือช่องแคบที่เป็นรอยแตกระหว่างทวีปอเมริกาเหนือและฝั่งยุโรป ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Thingvellir โดยน้ำที่ปกคลุมสถานที่นี้มีความใสและสะอาด สามารถดื่มกินได้โดยตรงเลย

 

17. ฟุตบอล

หากใครชื่นชอบกีฬาฟุตบอลหรืออยากไปเชียร์บอลที่ขอบสนามแบบมันส์ถึงใจ เราขอแนะนำให้คุณได้ลองไปสัมผัสบรรยากาศการแข่งขันกีฬาฟุตบอลของประเทศนี้ ซึ่งพวกเขาเองก็มีฝีมือไม่แพ้ชาติอื่นเลย

 

18. เด็กได้รับความสุขอย่างเต็มที่

เรื่องของเด็กและครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับประเทศนี้ เด็กสามารถอาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีความปลอดภัย มีการสนับสนุนในเรื่องของการเรียนรู้ รูปแบบของการเรียนที่เอื้อต่อพัฒนาการของเด็ก มีศูนย์ให้การศึกษาและห้องสมุดเอาไว้อยู่มากมาย

ยิ่งไปกว่านั้นคือประเทศนี้ไม่มีสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่พวกเขาจะมีบ้านพักที่ช่วยดูแลเด็กในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่จะมีครอบครัวใหม่มาติดต่อรับไป ตรงข้ามกับสถานรับเลี้ยงเด็กที่ต้องเลี้ยงเด็กคนหนึ่งเป็นเวลานานกว่าจะมีคนมาขอพาไปเลี้ยงดู และเมื่อเด็กโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาก็จะดูแลเหล่าคนเฒ่าคนแก่ภายในบ้านต่อไป

 

เห็นอย่างนี้แล้วก็ทำให้หลายๆ คนเริ่มจินตนาการได้ถึงความสวยงามของประเทศนี้กันบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นอย่ารอช้า รีบเก็บของสะพายกระเป๋าแล้วออกเดินทางไปกันเลยดีกว่า

 

ที่มา: brightside

Comments

Leave a Reply