หญิงชาวโรฮิงญาเผยประสบการณ์ชีวิตอันขมขื่น ลูกชายถูกฆ่า ตัวเองโดนรุมข่มขืน

เรื่องราวสุดรันทดที่ถูกเล่าจากปากของหญิงสาวชาวโรฮิงญาที่ถูกทารุณกรรมทางกายและทางเพศ ด้วยเงื้อมมือ ของกองกำลังรักษาความปลอดภัยของพม่า

ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญากว่า 600,000 ชีวิตได้อพยพไปสู่ประเทศบังกลาเทศ เพื่อหนีให้พ้นการคุกคามจากทหารพม่า ที่ว่ากันว่าเป็น “ตัวอย่างของการชำระล้างทางชาติพันธุ์” ตามที่องค์การสหประชาชาติได้กล่าวไว้

 

 

Sunuara ชาวโรงฮิงญาวัย 25 ปี เล่าว่าเธอต้องอพยพไปยังบังกลาเทศหลังจากหมู่บ้านของเธอถูกโจมตีเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2017 เธอบอกว่าก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ เธอมีชีวิตที่ดี มีวัว รถ และที่นา เป็นของตัวเอง

จนกระทั่งวันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่ทหารมาเยือนบ้านของเธอซึ่งขณะนั้นสามีของเธออาศัยอยู่ ณ อีกหมู่บ้านหนึ่งกับญาติ ส่วนลูกคนอื่นๆ ของเธอก็ไปอยู่กับพ่อแม่ของเธอ

เธอเล่าว่า เจ้าหน้าที่ทหารได้ประหารลูกชายของเธอด้วยการยิงเขาเข้าที่ท้องต่อหน้าต่อตา

ขณะนั้น Sunuara ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน ถูกตรึงไว้กับเตียงและถูกข่มขืนโดยชาย 9 คน เป็นเวลารวม 6 ชั่วโมง เธอฟื้นขึ้นอย่างไร้สติ เมื่อสามีและพี่ชายของเธอเข้ามาพบ

จากนั้นพวกเขาก็พาเธอออกจากที่นั่นไปยังชายแดนบังกลาเทศ เธอคลอดลูกของเธอที่นั่น แต่หนึ่งวันหลังจากนั้น ทารกที่เธอคลอดออกมาก็ไม่อาจรอดชีวิตได้

 

 

ในขณะเดียวกัน Roshida Begum วัย 22 ปี ต้องหนีออกจากหูม่บ้าน Tula Toli ในพม่าในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2017 เธอบอกว่ากองกำลังทหารเข้ามาวางเพลิงและระเบิดหมู่บ้านของเธอ พวกเขาเผาบ้านแต่ละหลัง และยิงทุกคนที่ยังรอด

Roshida พยายามซ่อนตัวที่ริมฝั่งแม่น้ำพร้อมกับคนอื่นๆ ที่เหลือ แต่สุดท้ายก็ถูกพบ ส่วนสามีของเธอนั้นว่ายน้ำข้ามฝั่งหนีไปเรียบร้อยแล้ว

เจ้าหน้าที่ทหารยิงเด็กๆ ทิ้ง และโยนเด็กๆ รวมไปถึงทารกลงแม่น้ำ เธอเล่าเพิ่มเติมว่า พวกทหารยึดเครื่องประดับเพชรพลอยจากผู้หญิงไปจนหมด พร้อมสั่งให้ไปคุกเข่าในบ่อน้ำจนโผล่มาแค่หัว

Roshida จำได้ว่าเห็นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือศีรษะในขณะนั้น เจ้าหน้าที่ทหารได้จับตัวหญิงราว 4-5 คนเข้าไปในบ้าน และข่มขืน หนึ่งในนั้นรวมถึง Roshida เองด้วย เธอบอกว่าลูกของเธอ ที่มีอายุเพียง 25 วัน ถูกโยนลงพื้นและฆ่าให้ตาย

 

 

หลังจากชายเหล่านั้นข่มขืนเสร็จ พวกเขาก็ใช้มีดทำรอยบากที่คอของหญิงที่พวกเขาข่มขืน และก็จุดไฟเผาบ้าน ส่วน Roshida สามารถหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้

เธอหนีออกไปหลบซ่อนตัวอยู่ในนาข้าว จนกระทั่งได้บังเอิญเจอหญิงอีกคนหนึ่ง ทั้งคู่จึงพากันหนีข้ามไปยังประเทศบังกลาเทศ

สามีของ Roshida ได้มาพบเธอที่คลินิก MSF ทั้งคู่จึงพากันไปยังค่ายอพยพ ในการรุกรานของทหารครานั้น เธอบอกว่าต้องเสียสมาชิกในครอบครัวไปถึง 17 คน ในนั้นมีพ่อ แม่ และพี่ชายของเธอรวมอยู่ด้วย

“ในบังกลาเทศ บางเวลามันทำให้ฉันมีความสุข แต่พอฉันมองไปเห็นคนแก่ชรา มันทำให้ฉันคิดถึงพ่อ หรือเวลาที่ฉันมองไปเห็นแม่กับลูกน้อย มันทำให้ฉันคิดถึงลูกชายของฉัน” Roshida กล่าว

 

 

“ฉันทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากร้องไห้ออกมา ฉันต้องการความยุติธรรมจากโลกใบนี้ ทำไมคนพวกนั้นต้องฆ่าพ่อแม่และพี่น้องของฉันด้วย ฉันหวังว่าฉันจะได้รับความยุติธรรม เพราะคนพวกนั้นฆ่าแบบไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย” Roshida กล่าว

 

 

Mumtaz Begum ชาวโรงฮิงญาวัย 30 ปีเองก็ได้หลบหนีมาจากหมู่บ้าน Tula Toli เช่นกัน เธอทั้งวิ่งหนีและหลบซ่อน แต่สามีของเธอกลับถูกยิงตาย

ขณะที่สามีของเธอล้มลงและกำลังจะหมดลมหายใจนั้น เธอบอกกับเขาว่า “ฉันอยู่กับคุณมาตั้งหลายปี หากฉันทำอะไรไม่ดีกับคุณไป โปรดยกโทษให้ฉันด้วยเถอะนะ”

เธอกล่าวว่า ขณะที่สามีของเธอบาดเจ็บเจียนตาย เขาเอ่ยปากขอน้ำดื่มจากเจ้าหน้าที่ทหาร และเขาก็ถูกยิงซ้ำอีกครั้ง จากนั้น Mumtaz กับลูกๆ ของเธอส่วนหนึ่งก็ถูกพาไปยังบ้านที่อยู่ใกล้ๆ และถูกข่มขืนในนั้น

ขณะที่ลูกๆ ของเธอกรีดร้อง พวกเขาก็ทุบตีพวกเด็กๆ ด้วยมีดพร้า จากนั้น เมื่อเสร็จกิจแล้วพวกทหารก็จุดไฟเผาบ้านหลังนั้น แต่เธอก็พยายามที่จะหลบหนี แต่เปลวไฟก็ได้สร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้กับเธอ

เธอเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในป่า จนกระทั่งคนกลุ่มหนึ่งได้มาพบเจอเธอและพาเธอไปยังชายแดน “ฉันต้องการความยุติธรรม ฉันจะบอกกับโลกให้รู้ ถึงสิ่งที่พวกทหารมันทำ มันข่มขืนและฆ่าพวกเรา เราต้องการความยุติธรรม”

 

ที่มา: Independent

Comments

Leave a Reply